มัดรวมเบื้องหลังความยาก เนรมิตฉากใน "Dune: Part 2" ดีเทลละเอียดยิบ
— แพทริซ เวอร์เม็ตต์ —
ผู้ออกแบบฉาก
บรรยากาศธรรมชาติที่ยากขึ้นในตอนใหม่…
“‘ดูน: ภาคสอง มีความยิ่งใหญ่กว่า ‘ภาคแรก’ ด้วยฉากที่มากขึ้นกว่า 40% เราส่งความท้าทายให้กันตลอดเวลา และเรารักเดอนีสุดหัวใจ เราพร้อมอยู่ที่นั่นเพื่อสนับสนุนจินตนาการของเขา”
การร่วมงานกับเดอนี วีลเนิฟว์ในการตัดสินใจเรื่องภาพลักษณ์ของภาพยนตร์ …
“เราคิดถึงเรื่อง ‘The Godfather Part Two’ และ ‘The Empire Strikes Back’ เพราะสำหรับผลงานแฟรนไชส์การที่จะอยู่รอดได้ต้องไม่นำเสนอแต่สิ่งเดิม เราต้องทำอะไรเหนือกว่าที่เคยทำมาก่อน ‘ภาคสอง’ ต้องยิ่งใหญ่และสนุกกว่าเดิม สร้างจากสิ่งที่เราได้เรียนรู้และสัมผัสมาจากในเรื่อง ‘ดูน’”
การวาดภาพหน้าตาโดยรวมและฉากต่างๆ ที่เขาออกแบบในภาคแรก …
“ไบเบิลของเราคือหนังสือภาพวาดและรูปถ่ายจากผลงานของเราในเรื่อง ‘ดูน’ นับเป็นแหล่งอ้างอิงอันล้ำค่าของผมสำหรับการสร้างโลกของ ‘ดูน: ภาคสอง’ หนึ่งในสิ่งแรกที่เราทำอีกครั้งคือกรสร้างโมเดลของฉากใหม่ขึ้นมา เพื่อช่วยให้แผนกอื่นโดยเฉพาะเกร็ ฟราเซอร์และฝ่ายจัดแสงไฟได้เห็นภาพ”
การคิดโทนสีขึ้มาสำหรับหนังเรื่องใหม่…
“ผมได้แรงบันดาลใจเรื่องสีจากสถานที่แปลกๆสำหรับดาวของฮาร์คอนเนน เกดิไพรม์ผมได้แรงบันดาลใจจากถังบำบัด ดูจากภายนอกผมเลือกใช้พลาสติกสีดำเข้มพร้อมด้วยไฮไลท์สีเงินบางช่วง เดอนีและเกร็กใช้กล้องอินฟราเรดเพื่อสร้างบรรยากาศของที่นั่นให้สมจริง นั่นหมายความว่าสีดำในบางช่วงอาจเปลี่ยนเป็นสีขาวในภาพยนตร์ได้ ผมต้องพิจารณาเรื่องนั้นด้วย สำหรับอาณาจักรที่มีบรรยากาศต่างจากที่อื่นในเรื่อง ผมใช้วัสดุเป็นไม้และใช้สีเทาของปูนซีเมนต์ ส่วนอาร์ราคิสจะใช้สีเบจ เหลือง ส้มแดง และชมพูที่สะท้อนการเต็มไปด้วยทราย”
การกลับมาเยือนคาร์โล สคาร์ปาที่สร้างแรงบันดาลใจด้านความงามให้เขาสำหรับ สวนในวังจักรวรรดิ ของจักรพรรดิ์…
“คาร์โล สคาร์ปาสำหรับผมเหมือนกับพระเจ้าเลยครับ เขามีอิทธิพลต่อการออกแบบ ‘ภาคแรก’ มาก เราสังเกตเพื่อนำมาสร้าง สวนในวังจักรวรรดิ สำหรับเรื่องนี้ ผมเอาบอร์ดที่วาดภาพอ้างอิงให้เดอนีดู ตอนเขาเห็น Brion Cemetery เขาพูดว่า 'นั่นเหมือนโลกของเราเลย มันมีความพิเศษ ลองถ่ายทำที่นั่นกัน’ ที่นั่นไม่เคยถูกใช้เป็นฉากของภาพยนตร์มาก่อน ครอบครัวไบรอันนึกถึงเรื่อง ‘Star Wars!’ แต่พอลูกชยาของไบรอันรู้ว่าเป็นเรื่อง ‘ดูน: ภาคสอง’ และได้พบกับพวกเราเขาก็ตกลง มันค่อนข้างมีความพิเศษ เป็นสถานที่แห่งแรกที่เราไปเยือนกันและเดินเข้าไปแล้วร้องไห้ ผมได้พบกับลูกชายของคาร์ลอส สคาร์ปาที่ชื่อโทเบียส ทุกอย่างล้วนได้แรงบันดาลใจจากสคาร์ปา ในเรื่อง ‘ดูน’ ทุกอย่างทำให้รู้สึกได้จริงๆ”
การเลือกสถานที่ใหม่ๆ บนพื้นที่อันคุ้นตา เพื่อขยายโลกของ ‘ดูน’ ในภาพยนตร์เรื่องใหม่…
“ที่จอร์แดนพวกเรารัก Wadi Rum จากภาคแรก แต่เดอนีและผมค้นหาสถานที่ต่างออกไป เราอยากได้มุมมองที่แตกต่าง รวมถึงเรื่องขอบเขตและองค์ประกอบโดยรวมที่ต่างกัน ที่นั่นมีน้ำฝนปริมาณเยอะมากเมื่อปี 2020 กลางทะเลทราย ทำให้เกิดพื้นที่สีเขียวเยอะมากในบริเวณที่เราเคยใช้มาก่อน ซึ่งแน่นอนว่าบนอาร์ราคิสไม่มีสีเขียวเลย!”
ความท้าทายของการดักลมสำหรับการถ่ายทำที่ Wadi Rum…
“รูปแบบของหินมีความงดงามมาก Wadi Rum ในจอร์แดนเป็นสถานที่หนึ่งทีเราเลือกใช้ ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วทำให้เก็บภาพท่ามกลางบรรยากาศที่มีลมพัดได้ จากนั้นสร้างหยดน้ำที่ไหลเป็นหยดลงมา โดยมีการสร้างขึ้นที่บูดะเปสต์และขนส่งโดยเฮลิคอปเตอร์ เพราะแต่ละชิ้นมีน้ำหนัก 400 กิโล ผู้ชำนาญด้านคอนเซ็ปต์ของเราได้ออกแบบแบบจากแมงมุมที่ผมให้ใช้เป็นแหล่งอ้างอิง ช่วงที่แมงมุมกำลังสร้างใยขจองมันเอง ช่วงด้านล่างของที่ดักคือส่วนท้องของแมงมุม”
บรรยากาศของเฟรเมน…
“ตามที่เขียนไว้บนผนัง เฟรเมนมีการเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์ของตัวเอง จากนั้นมีไอเดียว่าใน ซีตช์ ควรมีทรายจำนวนมาก เพราะนั่นเป็นวัฒนธรรมที่ค่อยๆ ถูกฝัง มันเหมือนการเปรียบเทียบของฉากนั้น และยังมีถ้ำนกที่ได้แรงบันดาลใจจากหีบเพลงเป่า และด้านในจะเหมือนลายนิ้วมือของมันที่เป็นกรบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ คนเหล่านี้เป็นใครด้วยลายนิ้วมือขนาดใหญ่”
การสร้าง วิหารของผู้สร้าง และ ถังเก็บวิญญาณ…
“วิหารของผู้สร้าง จะเป็นวงกลม 2 วงที่ทำให้เกิดสัญลักษณ์แห่งนิรันดร์เป็นเลข 8 วงกลมสองวงมีขั้นบันได ทรายคือความตาย น้ำคือชีวิต พอลตัดระหว่างโลกทั้ง 2 ใบเมื่อเขาดื่มน้ำแห่งชีวิต จึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจถึงเรื่อง ถังเก็บวิญญาณ ของเฟรเมน พวกเขามีการสะสมน้ำจากความตายกันมานานหลายพันปี สิ่งสำคัญคือต้องแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตนที่พวกเขาไม่เคยหยุด ความตายเป็นส่วนหนึ่งของการคงความฝันสิ่งที่เฟรเมนต้องการเอาไว้ ซึ่งนั่นคืออาร์ราคิสที่เป็นสีเขียวขจี”
การเปลี่ยนห้องแสดงนิทรรศการสู่โรงถ่าย…
“เนื้อเรื่องของ ‘ดูน’ และโดยเฉพาะ ‘ดูน: ภาคสอง’ มีความตื่นเต้นขึ้น ฉะนั้นหลายฉากต้องสะท้อนถึงจุดนั้น เรามีโรงถ่ายที่ไม่ใช่โรงถ่ายซึ่งเรียกว่า Hung Expo และห้องจัดแสดงนิทรรศการที่บูดะเปสต์ ที่นั่นมีพื้นที่ 103,000 ตารางฟีต และมีความสูง 45 ฟีต ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเรามาก บวกด้วยพื้นที่อีก 58,000 ตารางฟุตที่นั่นอีก ทำให้เรามีโอกาสสร้าง Giede Prime ในระดับของเราและกระโจมขนาดใหญ่ รวมถึงอีกหลายฉากด้วย แม้ว่าบางส่วนจะใหญ่เกินไป แต่เราเรียนรู้เทคนิคจาก ‘ภาคแรก’ ที่จัดการได้มากกว่าพื้นที่จริงมีอยู่!”
การออกแบบหนอน…
“ผิวของหนอนอิงจากทะเลสาบที่แห้งขอด ลักษณะเหมือนผืนดินที่แห้ง ซึ่งผมคิดว่ามันเหมาะมาก เราออกแบบเอาไว้สำหรับ ‘ภาคแรก’ และมันดูลงตัวมาก เราเลยอยากได้ลักษณะแบบเดียวกันใน ‘ภาคสอง’”
ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์สุดอัจฉริยะ พอล แลมเบิร์ท…
“สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับพอล แลมเบิร์ทคือการจินตนาการสร้างทุกสิ่งให้เกิดขึ้นเสมอ เขาคือนักวิทยาศาสตร์ผู้ปราดเปรื่องและหลุดโลก!”
การร่วมงานกับวีลเนิฟว์และหัวหน้าแผนกอื่นๆ…
“พวกเราเป็นทีมที่รักความเพอร์เฟ็กต์ และการร่วมงานกันค่อนข้างชัดเจนเพราะเราเป็นเพื่อนกัน เราเคารพกันและเคารพในผลงานกันและกัน ผมคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นบนหน้าจอ ทุกอย่างมาจากเดอนี ไม่มีใครพยายามทำตัวฉยเดี่ยว ทุกคนจะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ผมคิดว่านั่นคือส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความสำเร็จในเรื่องนี้”
สำหรับแฟนหนังเมเจอร์ ห้ามพลาดกับบัตรดูหนังสุดคุ้ม M PASS ที่จะทำให้คุณคุ้มเต็มอิ่มกับการดูหนังตลอดทั้งปี เตรียมไปมันส์กับกองทัพหนังดังมากมาย สมัครง่ายๆเพียงแค่คลิก ที่นี่