เครดิตภาพ WarnerBrosหนังแนวโลกถล่ม เรียกได้ว่าออกมาเยอะ เห็นหลายรูปแบบ ซึ่งทุกแบบก็จะเกิดขึ้นเพราะธรรมชาติ แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ มหันตภัยจะเกิดโดยวิวัฒนาการของมนุษย์เองเนื้อเรื่องกล่าวถึงดาวเทียมนานาชาติ “เทอร์โมสเฟียร์” ที่สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุมสภาพภูมิอากาศของโลกได้ถูกแทรกแซงจากฝีมือของผู้ก่อการร้ายลึกลับ ที่ได้เปลี่ยนมันให้กลายเป็นอาวุธสร้างหายนะโลก ทำให้ทีมวิศวกรรวมไปถึง เจค (Gerard Butler) ต้องวางแผนการเพื่อยับยั้งแผนร้ายนี้ให้ได้ แถมยังมีการก่อร้ายทางการเมือง แทรกในหายนะนี้เครดิตภาพ WarnerBrosGeostorm ภาพยนตร์ระทึกขวัญ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากโลกเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติติดต่อกัน ผู้นำทั่วโลกได้ตกลงและร่วมมือกันสร้างระบบดาวเทียมควบคุมภูมิอากาศโลก เหตุผลก็เพื่อรักษาความปลอดภัยเให้กับประชากรทุกคน แต่เทคโนโลยีที่เพิ่งเคยสร้างครั้งแรก ระบบสร้างการป้องกันโลกต่อสู้กับภูมิอากาศดันเกิดความผิดพลาด จนต้องแข่งกับเวลาที่บีบคั้น เพื่อสืบหาภัยร้ายที่แท้จริงก่อนที่ระบบดาวเทียมจีโอสตอร์มจะกวาดล้างทุกสิ่ง รวมถึงชีวิตมนุษย์ทุกคนไปด้วยจินตนาการมักสำคัญกว่าสาระ เพราะหนังมันจับทุกอย่างที่จะจินตนาการได้ มายำให้หมด มันเป็นการยำแบบไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องคิดถึงหลักการที่เป็นไปได้ เน้นเอามันส์พอ ผมเป็นคนไม่ชอบดูตัวอย่างหนังบ่อย ๆ ดูเผิน ๆ ก็นึกว่าเป็นหนังมหันตภัยธรรมชาติ แต่หนังดันเล่าเรื่องได้สนุกแบบเพลินๆ แม้หนังจะเกี่ยวข้องกับพวกศัพท์ยาก ๆ ของวิทยาศาสตร์ที่ฟังและอ่านก็ชวนงง ส่วนตัวแม้จะมองว่าได้ความรู้เพิ่มแต่ก็ไม่ค่อยเก็ทอยู่ดี ที่น่าประหลาดใจ คือหนังเดาง่าย แต่ความเดาง่ายนั้นกับปราศจากความกร่อยเครดิตภาพ WarnerBrosหนังไม่ได้เป็นหนังมหันตภัยล้างโลกซะทีเดียว เพราะมันเป็นอุปกรณ์ที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ และหนังมีหลายมุม ไม่ได้จำเจแค่มหันตภัย มีดราม่าพี่น้องตีกัน การเมือง รวมถึงหนังอวกาศมารวมยำอยู่ด้วย ปกติหนังที่สักแต่ยำมักจะออกมาแย่ แต่หนังเรื่องนี้กลับมันส์ได้เฉยเลยในเรื่องของบทบาทการแสดง หนังไม่ได้เน้นคาแร็คเตอร์ของนักแสดงเลยดีกว่า ถ้ามาดูหวังว่าจะเห็นบทบาทการแสดงที่เด็ดดวง คงต้องผิดหวังนะครับ เพราะว่าหนังเน้นไปที่เอฟเฟคต์และการไล่ล่า สืบสวนมากกว่า ถ้าพูดภาษาง่าย ๆ ไม่ต้องพึ่งฝีมือเจอราร์ดเลยครับ ใครก็ได้ เพราะหนังเน้นขายแค่ตัวหนัง ไม่ได้เน้นนักแสดงเลยคะแนนเนื้อเรื่อง 8/10 หนังยำใหญ่ชนิดที่ว่ามีครบทุกรสจริง ๆ แต่ว่าหนังไม่ใช่หนังมหันตภัย แต่มีเรื่องราวของการลอบสังหารประธานาธิบดีมาแทรกแซง เหมือนหนังการเมืองที่เอามหันตภัยมาเป็นฉากบังหน้า แต่หนังทำให้ผมดูได้เพลิน ๆ ไม่ได้แย่นัก แต่ผิดหวังตรงที่ ผมตั้งใจไปดูหนังมหันตภัย แต่กลายเป็นยำใหญ่ ก็ถือว่าได้อย่างเสียอย่างคะแนนเอฟเฟคต์ 10/10 ก็ต้องให้เลยแหละครับ สำหรับภาพยนตร์ล้างโลกมหันตภัยในเงื้อมมือมนุษย์ ฉากหลายฉากที่ผมประทับใจ อย่างฉากคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่ง คลื่นที่สูงเท่าตึกร้อยชั้นขนาดนั้น ซัดเข้าหาผู้คนที่ตัวเล็กเท่ามด มันให้ความรู้สึกว่า ไม่มีทางที่มนุษย์จะชนะธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ได้ แม้ว่ามหันตภัยเหล่านี้ จะไม่ได้เกิดเองก็ตามเครดิตภาพ WarnerBrosข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์1. ความพยายามในการสืบค้น ดูเหมือนว่าพระเอกของเรื่องนี้ จะเดาเรื่องเก่งและรอบรู้ไปหมดเลยนะครับ แต่ผมประทับใจที่สุดก็คือไหวพริบในการคาดเดาเรื่องราวที่สาวไส้ไปถึงการก่อการร้าย คือต้องบอกว่าพระเอกเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งมาก การที่เค้าพยายามหาทางหยุดยั้งดาวเทียมที่เป็นต้นตอของเรื่อง แต่ว่าเค้าก็พยายามที่จะหาสาเหตุ ต้นตอ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เค้าพยายามก็ตาม2. มนุษย์ไม่มีทางชนะธรรมชาติ ต่อให้มนุษย์พัฒนา มีวิวัฒนาการไปมาก ก้าวไกลไปแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมสิโรราบให้กับความเกรี้ยวกราดและการลงโทษของธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์ทุกคนควรตระหนัก ว่าเราควรเกรงกลัวธรรมชาติ ไม่ใช่พยายามชนะธรรมชาตินั่นเองโดยรวมแล้วอย่างที่บอก หนังมันยำกันไปซะเยอะเลย ซึ่งความสนุกขึ้นอยู่กับทัศนคติของคนดูเลยครับ ถ้าดูแบบเอาเหตุเอาผล มองความเป็นไปได้ ก็อาจจะเฟล แต่ถ้าดูเอามันส์ ไม่คิดอะไร เน้นสะใจในเอฟเฟคต์ เรื่องนี้เหมาะกับคุณมากครับ เครดิตภาพปก WarnerBros