Short CommentBeliever 2 (2023)เน้นตื่นเต้นระห่ำสะใจมากกว่าระทึกเร้าใจทำให้ดูเอามันส์ได้เป็นงานดีแค่ขาดความละเมียดอย่างที่เคยเป็นเพราะ....เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วมีหนังฮ่องกงเรื่องหนึ่งที่จำได้ว่าไม่เล่นใหญ่เป็นหนังฟอร์มกลางๆเน้นที่บทและพล็อตที่พลิกผันในยุคที่หนังตอนนั้นไม่ได้ตั้งท่ามาหักมุมจนต้องก่นด่าพวกสปอยล์หนังกันเหมือนปัจจุบันนี้นั่นคือ Drug War (2012) ซึ่งจำได้ลางๆว่าที่ดูเพราะกู่เทียนเล่อนำแสดงแล้วหนังก็ออกมาสนุกพลิกผันปานหมูกะทะบนเตาที่เร่าร้อนแต่ก็แค่นั้นเพราะเหมือนจะไม่มีภาคต่อออกมาเพราะถ้ามีก็คงไม่พลาดแต่ถ้าพลาดก็ขออภัย จนเมื่อไม่นานมานี้ได้เห็นว่าทางเกาหลีมีการรีเมคหนังเรื่องนี้โดยใช้ชื่อว่า Beliver ในอีกหกปีต่อมาแล้วเหตุผลที่อยากดูก็เพราะนักแสดงเช่นเดิมคือโจจินอุงและชาซึงวอน กระนั้นแม้จะรู้เรื่องราวรู้จุดขายของหนังคือการหักมุมตรงไหนไปแล้วทำให้อาการลุ้นไม่ถึงขีดสุดเพราะได้ดูงานต้นฉบับมาที่โครงคร่าวพิมพ์เขียวเป็นอันเดียวกัน แต่รายละเอียดของหนังยังจัดว่าจัดการอารมณ์ได้อยู่หมัดอาจเพราะหนังถูกสร้างหลังจากต้นฉบับมานานพอดูเลยปรับแต่งบางอย่างและการเขียนบทก็ดูเนียนขึ้น ซึ่งตอนจบก็นับว่าดีแล้วในเชิงภาพยนตร์ที่จบแบบปลายเปิดแต่ก็มีภาคต่อออกมาจนได้ให้ต้องพิสูจน์กันวันนี้หลังจากเหตุการณ์ที่สถานียองซานที่การประทะกันของตำรวจนำโดยสารวัตรโจวอนโฮ (โจจินอุง) ที่แฝงตัวเข้าไปกับแก๊งค้ายาของท่านอีที่ไม่มีใครเคยเห็นหน้า แล้วบทสรุปออกมาว่าไบรอัน (ชาซึงวอน) คนที่แอบอ้างเป็นท่านอีถูกทำร้ายและโดนจับได้ส่วนซอยองรัก (รยูจุนยอล) ที่ร่วมมือกับตำรวจหนีไปได้ หลังจากนั้นซอยองรัก (โอซองฮุน) ก็ร่วมกับเพื่อนแท้สองคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการผลิตยาเสพติดมาขโมยวัตถุดิบของไบรอัน ทางด้านฝั่งจีนก็มีคนของท่านอีมาทวงสินค้าเพราะส่งวัตถุดิบให้แต่สินค้าถูกตำรวจยึดไปหมดแล้วคือซอบโซชอน (ฮันฮโยจู) และทางฝั่งสารวัตรโจวอนโฮก็ไม่เชื่อว่าไบรอันคือท่านอีจึงสืบต่อไปในขณะที่ไบรอันก็หนีไปได้เพื่อไปเจรจากับซอบโซชอนเพื่อทำการค้าต่อไป และแล้วซอบโซชอนก็ตามหาซอยองรักจนเจอจึงจับเขาลงเรือมาพร้อมกับไบรอันเพื่อมาผลิตสินค้าที่ประเทศไทย ในขณะที่สารวัตรโจวอนโฮก็ตามสืบมาจนถึงประเทศไทยเหมือนกันเพื่อมาพบกับเกมหักเหลี่ยมกันเพื่อการหาว่าท่านอีตัวจริงเป็นใคร แล้วเรื่องราวจะไปสู่จุดสิ้นสุดที่ทิ้งท้ายไว้ตอนจบภาคแรกยังไงนะเน้นความตื่นเต้นดุเดือดระทึกใจมากว่าเร้าใจในความละเมียดทำให้โทนหนังเปลี่ยนในการปิดปลายที่เปิดไว้ในภาคแรก ภาคแรกนั้นเป็นงานทริลเลอร์ดราม่าอาชญากรรมชั้นยอดที่เต็มไปด้วยความพลิกผันชี้นำให้คาดเดาแล้วตลบหลังอย่างเลือดเย็น นั่นเพราะการเล่าเรื่องออกมาในทางละเมียดเชิงอารมณ์มากกว่าจึงออกมาเร้าใจเชิงความรู้สึกมากำหนดอารมณ์และลงท้ายด้วยการจบแบบสมบูรณ์แม้จะเปิดปลายไว้ แต่ภาคนี้ที่เป็นการสานต่อเรื่องราวช่วงที่หายไประหว่างการปะทะกันในฉากไคลแม็กซ์สุดท้ายกับบทสรุปนั่นคือเล่าเรื่องเพื่อปิดปลายที่เปิดไว้นั่นเอง ซึ่งส่วนดีของบทหนังในภาคนี้คือไม่ตั้งใจมาพลิกไปมาหรือเล่นท่ายากหนังจึงไม่ต้องเล่นเชิงมากคือเดินไปแบบเอาข้างหน้าเป็นไปด้วยสถานการณ์ที่พัฒนา แม้ว่าช่วงท้ายจะมีการพลิกผันบ้างด้วยการซ้อนแผนแต่มันยังห่างไกลกับอาการเหวอในภาคแรกนั่นหมายความว่าในภาคนี้ตั้งใจมาขายความสนุกในความเป็นหนังแอ็กชั่นมากกว่าจะมาระทึกแบบอึดอัดกดดันท้าทายสมองประลองปัญญาจนเห็นว่าโทนหนังเปลี่ยนจากลุ่มลึกเป็นอึกทึกครึกโครมถ้าว่ากันที่ภาคนี้เพียวๆก็คือหนังแอ็กชันที่ดูเอามันส์ดูสนุกได้และมีดีอยู่ในตัว นั่นคือภาคนี้มีตัวตนของตัวเองแม้จะเล่าเรื่องต่อเนื่องกันที่สามารถคิดได้ว่าสถานการณ์มันบานปลายไปมากเหตุการณ์เลือดสาดก็ต้องเยอะตาม เพราะอย่างที่บอกคือหนังเดินหน้าไปแบบไม่ต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนซ่อนไว้แต่ท่านอีเท่านั้นซึ่งก็ใช่ว่าจะตั้งใจมาหลอกแต่เป็นการซ่อนตามบทบาทมากกว่า หนังจึงเดินหน้าเร็วจากเหตุการณ์หนึ่งไปยังเหตุการณ์หนึ่งเพื่ออัดฉากแอ็กชันที่ใหญ่ขึ้นแรงขึ้นดุเดือดอึกทึกมากขึ้นซึ่งทำให้กลายเป็นหนังแอ็กชั่นชั้นดีที่เอาดีได้เพราะมีอะไรมารองรับตั้งแต่ภาคแรก ในฉากแอ็กชั่นที่ใส่เข้ามาก็คือความสนุกตื่นเต้นเร้าใจเพราะสาดกระสุนใส่กันไม่ยั้งหนังจึงมีดีตรงนี้เพราะดีกรีความระห่ำเดือดมันเข้าที่เข้าท่า แม้ว่าในด้านเรื่องเทคนิคอาจจะไม่เนี้ยบเพราะยังเห็นบางฉากที่ดูลอยๆแต่เมื่อเหตุการณ์มันเดินหน้าไปเร็วและสนุกโดยมีจุดหมายไว้ที่ว่าหนังจะเดินไปหาบทสรุปสุดท้ายที่ลงเอยไว้ในภาคแรกยังไงเป็นเข็มทิศชี้นำทาง ทำให้แม้โทนหนังจะเปลี่ยนไปคนละอย่างถ้านับว่าเป็นเรื่องต่อกันแต่ก็เป็นหนังที่มันส์จริงแต่เมื่อเป็นหนังภาคต่อและเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกันเลยเหมือนกระทืบทฤษฎีที่เขียนไว้เองอย่างไม่ใยดี กระนั้นด้วยความที่เล่าเรื่องเชื่อมโยงกันต่อเนื่องกันโดยมีจุดหมายคือการขยายความและปิดปลายที่เปิดไว้เลยทำให้มีแผลเหวอะหวะมากมายที่คนได้ดูภาคแรกที่เข้าใจลึกซึ้งจะทำใจไม่ค่อยได้ แรกเลยคือท่านอีที่เมื่อภาคแรกเหมือนกับชี้ชัดไปแล้วว่าเป็นใครแต่มาภาคนี้ที่เป็นเหตุการณ์เดียวกันแต่กลับไม่ใช่ซะงั้น สองคือไบรอันที่ในภาคนี้มีศักยภาพระดับนี้แต่ในภาคที่แล้วทำไมไม่ใช้ประโยชน์จากตรงนี้จึงเป็นอะไรที่ไม่เข้าใจ สามคือตอนจบสุดท้ายที่มีคนหนึ่งตาไม่บอดแต่ภาคนี้ดันตาบอดไปก่อนหน้ายังไม่รวมจุดเล็กจุดน้อยอีกมากมายที่มีให้เห็นตลอดทางจนพยายามคิดเข้าข้างแล้วแต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเอะใจเข้าให้ แต่นั่นเพราะผู้เขียนดูละเอียดเกินไปมาตั้งแต่ภาคแรกที่บทหนังออกมาละเอียดละเมียดทิ้งชิ้นส่วนทางความคิดไว้มากเกินไปซึ่งก็แน่นอนเพราะหนังภาคแรกมาเพื่อท้าทายความคิดและการคาดเดา แต่เมื่อมาภาคนี้เก็บชั้นส่วนมาไม่หมดจึงเหมือนขยี้ทฤษฎีที่เขียนมาเองกับมือทิ้งไปปานกระทืบทิ้งการเปลี่ยนตัวนักแสดงทำให้เป็นรอยแผลใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้แต่ตัวละครอื่นทั้งเก่าใหม่ก็สานต่อเรื่องราวได้ดี อีกส่วนที่เป็นรอยแผลใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามได้คือการเปลี่ยนตัวนักแสดงในบทซอยองรักจากรยูจุนยอลมาเป็นโอซองฮุน ไม่ใช่ว่าโอซองฮุนเล่นไม่ดีกลับกันคือดีแล้วแต่รยูจุนยอลในภาคแรกนั้นมันคือระดับยอดเยี่ยมจนกระทั่งคนดูเชื่อหมดทั้งใจว่าเขาคือซอยองรักและ... ดังนั้นสีหน้าแววตาภาษากายที่เปลี่ยนหมดทำให้เหมือนเป็นคนละคนไม่ใช่คนเดียวกันความเชื่อมโยงทางมิติตัวละครเลยผิดที่ผิดทาง นั่นคือการถมช่องว่างไม่เต็มและคงไม่พยายามไปหาสาเหตุว่าทำไมเปลี่ยนตัวนักแสดงเพราะมันเป็นไปแล้ว ส่วนตัวละครเก่าอย่างโจจินอุงกับชาซึงวอนนั้นถ้าไม่นับลักษณะทางกายภาพที่เปลี่ยนไปเพราะเวลาก็ผ่านมาถึงห้าปีแล้วยังคงเป็นตัวละครเดิมอย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนตัวละครใหม่อย่างฮันฮโยจูที่พลิกบทบาทมาเล่นร้ายแบบจิตๆก็ทำได้เยี่ยมแต่นั่นไม่น่าแปลกใจเพราะนั่นคือฮันฮโยจูที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว แค่นึกเสียดายที่เปลี่ยนตัวแสดงบางคนที่ทำให้มีแผลใหญ่ไม่เว้นแม้แต่บยอนโยฮันแต่ไม่ว่ายังไงนี่คือหนังที่มันส์สะใจสมกับการรอคอยแม้ในความเชื่อมโยงกันจะมีริ้วรอยเต็มไปหมด เมื่อเป็นหนังภาคต่อที่เหตุการณ์ต่อเนื่องกันติดๆกันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะต้องมีการเปรียบเทียบกับภาคแรก ยังไม่ต้องไปอ้างอิงถึงต้นฉบับของฮ่องกงเพราะนั่นจบลงสมบูรณ์แล้วกระมังและถ้าว่ากันตามตรงภาคแรกของเกาหลีก็จบสมบูรณ์ดีพอแล้ว แต่เมื่อมีการสานต่อเรื่องราวออกมาเพราะอะไรก็แล้วแต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องคิดถึงหนังภาคก่อนหน้าซึ่งเรื่องนี้ถ้านับกันที่เนื้อหายังต่อกันไม่สนิทมีรอยแผลมากมายที่คนเคยดูภาคแรกมาจะมีอะไรมาสะกิดใจเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่ได้ดูภาคแรกมาก็น่าจะรู้เรื่องเพราะมีการย้อนไปเล่าโดยใช้เวลาพอประมาณและพยายามมาหาบทสรุปที่เคยเห็นจนได้ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดี แต่แม้จะสานต่อไม่เนียนเต็มร้อยแต่ถ้านับกันที่ความบันเทิงหนังภาคนี้ก็คือความบันเทิงที่คุ้มค่ากับการรอคอยเพราะหนังตั้งใจมาบันเทิงเต็มที่ไม่มีกั๊กอัดความมันส์สะใจมาไม่ยั้งทำให้ในความเป็นหนังแอ็กชันคือหนังแอ็กชันชั้นดีที่ดูสนุก แต่ในความเป็นหนังภาคต่อที่เหตุการณ์ต่อเนื่องกันก็ยังสอบผ่านแต่คะแนนยังน้อยไปหน่อยดูไปบ่นไปhttps://www.youtube.com/watch?v=8zrj0Z0IlY0&ab_channel=NetflixThailandขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1 จาก Instagram hanhyojoo222ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixkrVDO ตัวอย่าง จาก YouTube Netflix Thailand อ่านบทความ "ความเห็นหลังชม" Beliver ภาคแรก ได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/eVKQm5LLGB1A จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !