Movie ReviewInsomniacs After School ถ้านอนไม่หลับ ไปนับดาวกันไหม (2023)จะซึ้งก็ไม่ซึ้ง จะเศร้าก็ไม่เศร้า จะสดใสก็ไม่ใช่ แต่ทำไมดูแล้วมีความสุขดูแล้วดีต่อใจเหมือนไม่มีอะไรแต่หยุดไม่ได้ซักวินาทีก่อนหน้านี้ผู้เขียนเพิ่งดูหนังรักเศร้าๆโศกซึ้งที่มองโลกและการจากลาในแง่บวกกับการใช้ชีวิตให้คุ้มค่าทุกนาทีที่เป็นผลงานของนักแสดงนัตสึกิ เดกูชิกับผลงานใหม่ของเธอเรื่อง Drawing Closer ที่เพิ่งผ่านตาไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แล้วผู้เขียนก็พลันนึกถึงซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งทาง NETFLIX คือ The Makanai: Cooking for the Maiko House (2023) ที่นัตสึกิ เดกูชิฝากผลงานและความน่ารักไว้คู่กับนักแสดงอีกคนคือน้องตัวเล็กนานะ โมริ และแล้วผู้เขียนก็นึกขึ้นได้ว่ามีผลงานหนังของนานะ โมริลงสตรีมทาง NETFLIX ได้สักระยะแล้วแต่ช่วงนั้นดันไม่มีเวลาดูแล้วก็ลืมไปได้พักหนึ่ง จนเมื่อมีเวลาเลยนึกได้และลองไล่หาดูจนได้ดูก็พบว่าหนังญี่ปุ่นยังคงมีเสน่ห์ในตัวอย่างลึกซึ้งด้วยการเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ ที่สำคัญหนังเรื่องนี้ยังสร้างมาจากมังงะที่ต้องขายดีจึงได้ถูกซื้อมาสร้างเป็นหนังเพราะมังงะก็คือวัตถุดิบหลักอีกอย่างของวงการบันเทิงญี่ปุ่นที่เรียกหรูๆตามยุคสมัยว่า Soft Power และเรื่องนี้เมื่อดูจบแล้วกลับพบความพิเศษบางอย่างที่น่าจะมีเพียงญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำได้ดีแต่จะเป็นอะไรเชิญติดตามอ่านดังต่อไปนี้เกนตะ นากามิ (ไดเคน โอคุไดระ) นักเรียนชั้นมัธยมปลายที่มีปัญหานอนไม่หลับในเวลากลางคืนแต่ร่างกายที่อ่อนล้าก็พาให้ง่วงในตอนกลางวันที่โรงเรียนจนต้องหาที่เงียบๆเพื่องีบ วันหนึ่งเกนตะได้พบกับสถานที่ลับคือหอดูดาวบนดาดฟ้าโรงเรียนที่เหมาะสำหรับเป็นที่ปลีกวิเวกของเขาแต่ที่นั่นมีคนจับจองอยู่แล้วคืออิซากิ มางาริ (นานะ โมริ) แล้วเมื่อทั้งคู่ผลอยหลับไปจนถูกขังข้างในความในของทั้งสองฝ่ายก็เปิดเผยว่าต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตตอนกลางคืนอย่างทุกข์ทรมานจากอาการนอนไม่หลับเหมือนกัน แล้วเมื่อบางอย่างเหมือนกันความเข้าใจกันก็เกิดจนกระทั้งสถานที่ลับของเขาและเธอไม่ลับอีกต่อไปทางออกคือการตั้งชมรมดาราศาสตร์เพื่อที่จะได้ใช้ห้องในหอดูดาวเพื่อปลีกตัวขึ้นมา ทว่าเมื่อได้เริ่มกิจกรรมทางดาราศาสตร์เพื่อรักษาพื้นที่ลับของทั้งสองไว้ก็กลายเป็นว่าทั้งคู่เริ่มพบว่ากลางคืนที่เงียบเหงาและทรมานไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เพราะกลางคืนที่ทุกคนหลับไหลเกนตะและอิซากิมีอะไรให้สนุกร่วมกัน จนกระทั่งเมื่อทุกอย่างเหมือนจะไปได้ด้วยดีความลับของอิซากิที่ทำให้เธอนอนไม่หลับก็อาจจะเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่ครั้งนี้เดินไปเรื่อยๆตามเวลาใช้เวลาอย่างคุ้มค่าโดยที่ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร บางครั้งหนังบางเรื่องก็เป็นแบบนี้โดยเฉพาะกับหนังที่เล่าเรื่องชีวิตจริงไม่ใช่งานแฟนตาซีนั่นคือการเดินหน้าไปเรื่อยๆตามเวลาพัฒนาไปตามเข็มนาฬิกาที่เดินไป เพราะชีวิตจริงไม่มีใครรู้ว่าอานคตจะเป็นเช่นไรจะสุขสมหวังหรือจะทำร้ายจิตใจและสิ่งที่บทหนังเรื่องนี้เป็นก็ยังเป็นแบบนี้ เพราะนี่คือการเดินตามเด็กวันรุ่นสองคนที่มีปมในใจเพื่อที่จะเห็นพัฒนาการทางความสัมพันธ์เพราะความเหมือนกันของสองคนในความต่างจากคนอื่น ซึ่งในความเหมือนนั้นก็มีความต่างกันในเชิงลึกทำให้อยากรู้ว่ามันคืออะไรและจะเผยออกมาเมื่อไหร่ส่งผลให้ทั้งสองคนสามารถดึงความสนใจได้เต็มประสิทธิภาพ หนังยังให้ความสำคัญกับความรู้สึกตามสไตล์หนังญี่ปุ่นที่จะค่อยๆละเมียดละเอียดทำให้เห็นว่ามีบางอย่างค่อยๆก่อตัวซึ่งมันเยี่ยมมากที่เห็นภาพความเป็นจริงไม่ใช่นิยายชวนฝันทั้งที่เป็นการสร้างจากมังงะ และบทหนังยังคลี่คลายปมบางอย่างในเวลาที่ถูกต้องเล่ารายละเอียดที่ควรเล่าอะไรไม่ควรเล่าก็ไม่เล่ามากเพราะไม่พยายามขยี้เอาแค่พอรู้ทำให้เวลาถูกใช้อย่างคุ้มค่าค่อยๆเก็บเกี่ยวเพื่อก่อเกิดความรู้สึกของคนสองคนจากที่หม่นๆไปจนมีความหมายในการใช้ชีวิตตอนกลางคืน เพราะหนังญี่ปุ่นโดยเฉพาะหนังดราม่ามักจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกและทำได้ดีผ่านการเล่าเรื่องที่เหมือนจะเรียบเรื่อย ความนิ่งและความเงียบคือการให้คนดูได้ระลึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นของเด็กสองคนว่าถ้าเป็นตนเองจะคิดและตัดสินใจอย่างไร เริ่มจากความหม่นมืดทรมานใจในช่วงต้นที่นอนไม่หลับทุกค่ำคืนเป็นความยาวนานที่ไม่มีความหมายแล้วค่อยๆมีอะไรมากระตุ้นความรู้สึกนั่นคือความคิดถึงอยากพูดคุยอยากทำอะไรด้วยกัน เพราะปมในใจที่ทำให้เมื่อความมืดและความเงียบมาเยือนความคิดจะพุ่งพล่านนั้นต่างกันและหนังก็ฉลาดยิ่งที่ไม่กระตุ้นความสงสารเพราะมีจุดหมายปลายทางที่การมองโลกในแง่สวยงาม ซึ่งก็คือหนึ่งคือความหม่นหมองคิดว่าตนเองคือสาเหตุของเรื่องร้ายทุกอย่างอีกหนึ่งคือความสุขสดใสพยายามใช้ชีวิตให้คุ้มค่าแม้ว่าจะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันต่อไป เมื่อความหม่นได้เจอความสดใสก็ทำให้คล้ายเจอแสงสว่างกลางคืนจึงมีความหมายในการใช้ชีวิตแม้ว่าจะนอนไม่หลับก็ไม่ทรมานอีกต่อไปความเยี่ยมคือความรู้สึกที่คล้ายเรียบๆจะซึ้งก็ไม่ซึ้งจะเศร้าก็ไม่เศร้าจะสดใสก็ไม่ใช่แต่ตรึงหัวใจไว้ได้ทุกวินาที สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดคือการไม่ขยี้ดราม่าไม่ขยี้ต่อมความรู้สึกและการเล่นเความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งที่มีช่องมากมายที่จะกดได้มากกว่านี้บีบได้มากกว่านี้จนอาจทำให้น้ำตาไหลได้ แต่หนังกลับไม่เป็นอย่างนั้นเหมือนกับเรียบง่ายไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาปานคนที่พยายามเก็บความรู้สึกไว้ผ่านใบหน้าเรียบเฉย ทั้งที่ตลอดเวลาของหนังสัมผัสได้ถึงความหม่นโศกและเศร้าแต่ก็ไม่ถึงกับเศร้าใจจะซาบซึ้งกินใจก็รู้สึกได้แต่ก็ไม่ถึงขนาดน้ำตารินไหล แน่นอนมองเห็นความสดใสผ่านภาพสวยเพลงเพราะเช่นเคยเพราะตัวละครหนึ่งคือตัวแทนความสดใสแต่ก็เหมือนเก็บงำไว้เพราะอีกหนึ่งคือความหม่น กระนั้นในความที่เหมือนจะไปไม่สุดทางทางความรู้สึกแต่กลับมีความตราตรึงใจเพราะมองเห็นรายละเอียดข้างในหัวใจของสองคนที่เป็นความหมายของกันและกัน ซึ่งจะมีหนังสักกี่เรื่องที่เหมือนเรียบๆนิ่งๆไม่แสดงความรู้สึกแต่โอบกอดคนดูด้วยความรู้สึกเพราะเห็นความจริงในชีวิตจนตรึงหัวใจคนดูไว้ได้ทุกวินาทีแบบนี้เสน่ห์และเคมีที่เข้ากันที่มีพื้นหลังเรื่องราวที่จับใจกับงานด้านภาพและเพลงในแบบญี่ปุ่นทำให้เห็นเป็นพัฒนาการ เพราะนี่คือหนังของคนสองคนที่มีปมในใจต่างกันแต่ส่งผลกับชีวิตเหมือนกันแม้ว่าจะรับมือกับปมในใจนั้นต่างกันก็ตาม หนึ่งคือความหม่นหมองโทษตัวเองในทุกอย่างอีกหนึ่งคือความสดใสใช้ชีวิตให้มีความสุขแต่ลึกๆแล้วคือการพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่แท้จริง ทำให้ตัวละครรอบข้างกลายเป็นแค่ส่วนเสริมชั้นดีเท่านั้นเพราะคนดูจะโฟกัสไปที่สองคนทั้งหมดที่ต้องชื่นชมว่าการคัดเลือกนักแสดงเฉียบขาดมากที่ได้น้องตัวเล็กนานะ โมริมารับบทที่เป็นตัวแทนความสดใสที่กลบเกลื่อนความรู้สึกข้างในเพื่อที่ความสดใสนั้นจะเป็นของจริงในตอนท้าย เพราะน้องมีเสน่ห์ที่เป็นความสดใสเต็มที่ในขณะที่ก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรในใจส่วนตัวแทนความหม่นที่แสดงออกมาตรงๆก็หม่นได้หม่นดีโดยที่เคมีเข้ากันสุดตัวโดยไดเคน โอคุไดระ ทำให้คนสองคนค่อยๆเปลี่ยนความรู้สึกจากที่ว่างเปล่าเหมือนตอนกลางคืนที่ไม่มีอะไรทำคนทั่วไปจะนอนหลับแต่คนนอนไม่หลับก็เหมือนชีวิตไร้ความหมายจนสุดท้ายกลางคืนก็มีความหมายเสียทีเหมือนไม่มีอะไรแต่ดูได้เรื่อยๆหยุดไม่ได้แถมยังดูแล้วมีความสุขดูแล้วดีต่อใจแม้ว่าสุดท้ายอาจไม่เป็นอย่างที่หวัง สำหรับความเห็นส่วนตัวผู้เขียนแล้วนี่คือหนังโรแมนติกดราม่าที่การันตีได้ว่าเป็นหนังเรื่องเยี่ยม แม้ว่าอาจไม่ใช่ความบันเทิงสำหรับทุกคนซึ่งก็แน่นอนเพราะคนที่ไม่คุ้นกับหนังญี่ปุ่นอาจมองว่าหนังไม่มีอะไรเรื่อยๆมาเรียงๆซึ่งความจริงมันก็ไม่ใช่ความบันเทิงทางอารมณ์แหละ แต่มันคือหนังที่แข็งแรงทางความรู้สึกเพราะเมื่อเริ่มดูแล้วจะหยุดไม่ได้ส่วนหนึ่งอาจเพราะไม่มีทางรู้ว่าหนังจะลงเอยแบบไหนเพราะเล่าได้จริงปานนั่งดูชีวิตจริงทำให้อยากรู้ว่าจะมีจุดสิ้นสุดตรงไหน แน่นอนผู้เขียนไม่ได้อ่านมังงะมาแต่ขอปรบมือให้ตอนจบที่ไม่ให้กลายเป็นความเศร้าเพราะหนังเล่นกับความรู้สึกคนดูเหมือนไม่แสดงออกมาทั้งเรื่องแล้วเร้าให้ปล่อยโฮในตอนท้ายซึ่งก็คงไม่เสียหายเพราะบ่อยครั้งหนังแบบนี้ก็จะเป็นประมาณนี้ แต่ผู้เขียนคิดว่าจบแบบนี้ดีที่สุดแล้วเพราะตลอดเวลาก็เหมือนจะเศร้าแต่ก็ไม่เหมือนจะซึ้งก็ยังไม่จะสดใสก็ไม่เต็มที่ แต่ถึงที่สุดการดูหนังเรื่องนี้กลับมีความสุขในทุกวินาทีดูจบแล้วดีต่อใจก็ไม่มีอะไรให้ติดค้างแล้วแม้ว่าสุดท้ายยังอยากเห็นทั้งสองคนนอนหลับลงในตอนกลางคืนได้เสียทีดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก X 映画『君は放課後インソムニア』11月22日BD&DVD発売! ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/YzkAeKR8MOk7 https://entertainment.trueid.net/detail/RglBe8XLW5q3 https://entertainment.trueid.net/detail/1ENdnw22Lzm7 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !