Movie ReviewWhere Would You Like to Go? (2023)ไม่ซับซ้อนทางการเล่าเรื่องแต่ซับซ้อนทางความรู้สึก กับจุดตัดของสามความเจ็บปวดจากความสูญเสียจนไม่รู้ว่าชีวิตจะเดินหน้าต่อไปยังที่ไหนถ้าเป็นท่านผู้อ่านที่ติดตามงานเขียนของผู้เขียนมานานพอตั้งแต่ยังไม่ได้เขียนลงทางนี้คือมีแค่ที่เพจ "ดูไปบ่นไป" ที่เดียวจะพอทราบว่าหนังแนวที่ผู้เขียนถนัดและชอบคือหนังดราม่า จนบางครั้งการดูหนังสักเรื่องที่ไม่ควรจะดราม่าก็พาลแสวงหาดราม่าที่พึงมีจนกลายเป็นหนังเรื่องนั้นๆขาดความบันเทิงสำหรับผู้เขียนไปอย่างน่าเสียดาย กระนั้นเรื่องราวดราม่าที่จะมีในหนังสักเรื่องอาจเป็นเรื่องจำเป็นเพราะเป็นเรื่องที่เป็นพื้นฐานเป็นเรื่องที่ปูไว้สำหรับความหนักแน่นของการจะทำหรือไม่ทำอะไรบางประการสำหรับตัวละครนำเรื่อง จนกระทั่งอาจบางทีหนังที่ไม่มีเรื่องดราม่าที่ตั้งท่ามาบันเทิงสถานเดียวอาจกลายเป็นแบนราบไร้มิติเพราะขาดแรงจูงใจขาดพื้นฐานตัวละครมารองรับ แต่นั่นคือมุมของผู้เขียนเป็นการส่วนตัวเพราะหนังบางประเภทก็สามารถสนุกได้โดยไม่ต้องดราม่าทว่าถ้าเอ่ยถึงงานจากเกาหลีแล้วสิ่งที่ไม่เคยขาดในหนังทุกแนวอาจเป็นดราม่า แล้วถ้าเกาหลีทำหนังดราม่าแบบจัดๆจะเกิดอะไรขึ้นมาพิสูจน์กันกับหนังดีที่ไม่อยากให้อยู่นอกสายตาเรื่องนี้มยองจี (พัคฮาซุน) สูญเสียสามีคือโดคยอง (จอนซุกโฮ) ที่เป็นครูและเขาตายเพราะลงไปช่วยเด็กนักเรียนที่กำลังจมน้ำแน่นอนมยองจีจมอยู่กับกองทุกข์ อีกด้านหนึ่งแฮซู (มุนอูจิน) ก็พยายามติดต่อหามยองจีแต่ก็ติดต่อไม่ได้และเขายังต้องมาเจอกับการที่จีอึน (จองมินจู) พี่สาวของเพื่อนสนิทล้มป่วยกระทันหันเป็นอัมพาตครึ่งซีก ในขณะที่มยองจีเดินทางไปพักผ่อนเพื่อลดทอนความเจ็บปวดที่ประเทศโปแลนด์แต่ในห้วงคำนึงยังมีแต่ความทรงจำที่มีร่วมกับสามี แม้ว่าเธอจะได้เจอกับเพื่อนเก่าคือฮยอนซุก (คิมนัมฮี) ที่มาเป็นเพื่อนคุยเพื่อนเที่ยวก็ยังไม่คลายความเจ็บปวดลดลงได้ ทางด้านจีอึนที่ได้รับการดูแลจากเพื่อนน้องชายคือแฮซูก็มีพลังในการลุกขึ้นสู้ด้วยการยอมทำกายภาพบำบัด แต่แล้วทุกอย่างก็ปรากฎว่าเด็กที่โดคยองลงไปช่วยนั้นคือเพื่อนสนิทของแฮซูและเป็นน้องชายของจีอึนที่ความเสียสละของโดคยองไม่สามารถช่วยได้ หรือเรียกว่าเป็นสาเหตุให้โดคยองต้องตายแล้วความเจ็บปวดเหล่านี้จะทุเลาลงได้อย่างไรเล่าเรื่องไม่ซับซ้อนแม้จะแยกเล่าในสามุมมองของการสูญเสียแต่ทุกอย่างร้อยเรียงกันได้สวยและเต็มไปด้วยความสงสัย เอาจริงบทหนังโดยผู้กำกับควบเขียนบทคิมฮีจองจะออกมาเป็นความเรียบง่ายคล้ายไม่มีอะไรด้วยซ้ำ ทั้งที่มีการเล่าเรื่องจากสามคนสามมุมมองในเหตุการณ์เดียวกันที่เป็นเรื่องเดียวกันที่กลายเป็นแรงกระเพื่อมที่รุนแรง หนังใช้ความสูญเสียเป็นศูนย์กลางในการสำรวจความรู้สึกของตัวละครสามคนคือมยองจี,แฮซูและจีอึนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและไปตรงๆแบบนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะการเดินหน้าไปหาจุดหมายที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนเพื่อเดินทางไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหนตลอดเวลาที่เดินไปพร้อมความสงสัยว่าทุกความเจ็บปวดที่ถูกบอกเล่าจะไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน ซึ่งในส่วนของบทได้พยายามเก็บบางอย่างไว้แต่เอาจริงก็ซ่อนไม่สนิทหรืออาจจงใจให้คนดูคิดได้ก็เป็นได้ว่าทั้งสามความเจ็บปวดนี้เกี่ยวกันยังไงผ่านการร้อยเรียงเรื่องสามส่วนได้สวยทำให้แม้หนังจะเหมือนเล่าแยกกันแต่ก็เป็นเรื่องเดียวกันเป็นความซับซ้อนทางความรู้สึกเมื่อความสูญเสียได้พาความทุกข์ระทมโหมกระหน่ำเข้ามาใส่คนที่อยู่ข้างหลัง เมื่อหนังเล่าเรื่องความรู้สึกหลังการสูญเสียคนที่รักสิ่งที่ตามมาคือความซับซ้อนทางความรู้สึกทำให้หนังออกมาหม่นโศกในทุกทางประมาณอ้อยสร้อยก็คงใช่ หนังเดินหน้าไปด้วยความรู้สึกของคนสามคนที่มองเห็นก็รู้ว่าไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของตนเองยังไงเพราะความกระทันหันทำให้ขาดกระบวนการรับมือกับความสูญเสีย และหนังใช้ตรงนี้ในการดึงคนดูให้รู้สึกว่าคนทั้งสามต่างมีอะไรที่เหมือนกันในความต่างกันแม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องของมยองจีที่เป็นผลมากกว่าส่วนของอีกสองคนคือจีอึนและแฮซูที่เป็นสาเหตุ แรงดึงดูดหลักในเชิงดราม่าจึงไม่ใช่อาการลุ้นว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าแต่เป็นความอยากรู้ว่าทุกความเจ็บปวดจะมีทางออกทางไหนซึ่งแน่นอนทุกความเจ็บปวดล้วนมีทางออก แม้ว่าจะโดนความทุกข์ระทมโหมกระหน่ำเข้าในไม่ว่ายังไงทุกอย่างก็จะผ่านไปจนหนังมีบทสรุปที่อาจจะยังหม่นก็จริงแต่ก็หลุดพ้นได้สมดังชื่อเรื่องที่ว่า "คุณอยากจะไปที่ไหน?" เพราะเมื่อเจอเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ก็เหมือนไม่มีที่ไปและจุดตัดของสามความเจ็บปวด นี่คือหนังที่เล่นกับความรู้สึกมากกว่าอารมณ์เพราะเห็นชัดว่ามีอาการควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ให้เตลิดไปกับความเจ็บเจียนตายครั้งนี้ ซึ่งมันก็คือความไม่เข้าใจและเข้าใจในเรื่องเดียวกันแต่ต่างกันที่การรับมือนั่นคือมยองจีไม่เข้าใจว่าทำไมโดคยองถึงตัดสินใจทำอะไรแบบนั้น แต่ในส่วนของจีอึนความเจ็บปวดจากการสูญเสียน้องชายอาจทำให้แม้กระทั่งร่างกายเจียนล่มสลายแต่ความรู้สึกผิดที่น้องชายเป็นสาเหตุให้โดคยองต้องตายกลับกดทับหนักยิ่งกว่า มีเพียงแฮซูที่เหมือนจะเข้าใจและพยายามเป็นตัวกลางในการสารภาพความรู้สึกบางอย่างของจีอึนที่เอาจริงคือทั้งสามชีวิตต่างเคว้ง จึงเหมือนกับว่าคนสามคนจะไปไหนก็ยังไม่รู้ตัวเองว่าจะเริ่มหันหน้าไปทางทิศใดไม่ใช่การมีจุดหมายว่าจะไปที่นั่นที่นี่ หากแต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากไปที่ไหนเพราะชีวิตไร้ความหมายจนสุดท้ายเมื่อจุดตัดของสามความเจ็บปวดมาถึงจึงได้รู้ว่าชีวิตยังมีจุดหมายให้ไปอยู่อย่างน้อยก็กินข้าวให้ครบสามมื้อการแสดงที่ควบคุมความรู้สึกได้ดีจนมาขยี้แหลกราญในตอนสุดท้ายเมื่อทุกความเจ็บปวดมาบรรจบ เพราะหนังเล่าเรื่องของคนที่ต้องรับมือกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียแต่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้และที่ต้องทำคือการพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ซึ่งก็คือการเก็บซ่อนความรู้สึกไว้และที่ทำให้หนังควบคุมความรู้สึกได้ดั่งใจคือการแสดงของนักแสดงทั้งสามคนคือพัคฮาซุน,มุนอูจินและจองมินจู แต่อาจต้องยอมรับนิดหน่อยว่าหนังเล่าเรื่องของมยองจีเป็นหลักและพลังงานเสน่ห์ที่มีในตัวของพัคฮาซุนดีกว่าเพื่อร่วมจออีกสองคนที่ยังเป็นนักแสดงรุ่นเล็ก ทำให้หนังเป็นเรื่องของมยองจีที่เป็นความรู้สึกหลักของเรื่องให้ความรู้สึกของเด็กอีกสองคนมากระทบและไขกุญแจความรู้สึกของมยองจีในตอนท้าย ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างที่ได้รับรู้และเข้าใจเด็กสองคนก็คือแสงสว่างที่สาดเข้ามาหามยองจีที่ได้เข้าใจเสียทีว่าทำไมสามีของเธอต้องทำแบบนั้น หนังจึงมีบทสรุปที่ขยี้แหลกราญในตอนท้ายที่ทุกความรู้สึกที่เก็บไว้มันทะลักกออกมาเป็นงานดราม่าจัดที่ค่อยๆก่อสร้างความรู้สึกขึ้นเรื่อยๆไปจนพลั่งพรูในเวลาที่เหมาะสม ถ้าว่ากันที่องค์ประกอบนี่คือหนังที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าหนังดีโดยไม่กระดากแต่ก็อาจไม่เหมาะกับคนที่ไม่นิยมหนังดราม่าจัดๆหรือไม่ถนัดหนังไดอะล็อกเช่นกัน เพราะหนังเป็นหนังดราม่าเต็มที่ที่กดความรู้สึกไว้โดยไม่เขย่าอารมณ์เลยจนอาจเหมือนเรียบเรื่อยแต่กลับไม่รู้สึกว่าเอื่อยเฉื่อย เพราะหนังมีแรงดึงดูดที่ความรู้สึกทุกข์บนความสูญเสียของทุกคนจะพาคนดูไปด้วยความหม่นเศร้าเหมือนน้ำตาจะคลอไหลแต่ไม่ไหล แต่เหมือนแค่น้ำที่ปริ่มๆตลิ่งอยู่เรื่อยไปคือยังคุมได้กระทั่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมและคนดูก็ไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายทุกอย่างจะลงเอยแบบไหนแม้ว่าจะรู้ลางๆแต่ไม่แน่ใจเพราะไม่รู้ว่าหนังจะพาคนดูไปถึงที่ไหน ซึ่งความรู้สึกปริ่มๆนั้นที่มีตลอดแต่สิ่งที่เป็นคือค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นโดยไม่รู้ตัวจนเมื่อถึงเวลาทุกอย่างก็ล้นทะลักพรั่งพรูออกมา และหนังเรื่องนี้คือสัจธรรมในชีวิตในการยอมรับแล้วรับมือกับความสูญเสียที่คมคายอย่างยิ่งดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram nkcontents ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ https://entertainment.trueid.net/detail/YGKjAJnALV5Q https://entertainment.trueid.net/detail/L5ajXnPjLplkเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !