เรื่องที่กำลังมาแรงเป็นอันดับ 1 ใน Netflix ตอนนี้ก็คือเรื่อง It's Okay to Not Be Okay “เรื่องหัวใจไม่ไหวอย่าฝืน” เรียกได้ว่าเป็นกระแสดังพอๆกับอันดับที่ Netflix จัดให้จริงๆ ถ้าให้พูดถึงเรื่องนี้ก็คงไม่วายที่จะต้องพูดถึงพระเอกของเรื่องอย่าง คิมซูฮยอน ที่หวนกลับมารับซีรีส์ในรอบ 5 ปีหลังจากที่ออกจากกรม การที่มีนักแสดงชายที่การันตีถึงค่าตัวที่แพงที่สุดในเกาหลีมารับบทนำแบบนี้ แปลว่าซีรีส์เรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาจริงๆและยิ่งนางเอกของเรื่องรับบทโดย ซอเยจี ออนนีที่ทำให้เราตกหลุมรัก เพราะเรื่องนี้นางเอกของเรื่องสวยมากจริงๆ ทั้งคาแรกเตอร์ที่เข้ากับเธอสุดๆและคอสตูมที่ใส่ในแต่ละฉาก ทำให้ถูกพูดถึงไม่น้อยไปกว่าพระเอกของเรื่องเลยค่ะ และอีกตัวละครที่น่าสนใจคือ โอจองเซ ผู้ที่รับบทเป็นพี่ชาย ออทิสติกของพระเอกในเรื่อง บอกได้คำเดียวเลยว่าพี่แกเข้าถึงบทบาทได้ดีมากๆ ทำให้เราเชื่อจริงๆว่าพี่เขาเป็นบุคคลนั้น และที่สำคัญทั้งพระเอก นางเอกและพี่ชาย มีเคมีที่เข้ากันสุดๆ ดูแล้วไม่มีขัดใจแน่นอน ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่าเรื่อง It's Okay to Not Be Okay ถูกโปรโมทผ่านสายตาเราค่อนข้างเยอะ อาจจะด้วยเพราะแฟนละครของ คิมซูฮยอน ที่โหยหาการกับมาคืนจอของเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาแค่มีไปเป็นนักแสดงรับเชิญตามซีรีส์เรื่องอื่น เช่น Hotel del luna และ Crash landing on you ให้พอหายคิดถึง สำหรับเราต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่เรื่อง Dream hight ในปี 2011 เราก็ไม่ค่อยได้ติดตามผลงานของ คิมซูฮยอน มากนัก พอมีตัวอย่างเรื่องนี้ออกมาในตอนแรกก็ยังรู้สึกเฉยๆ เพราะหลายๆคนต่างพูดถึงว่าเป็นซีรีส์ที่ค่อนข้างดราม่า แถมยังมีเรื่องของผู้ป่วยจิตเวชเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งสำหรับตัวเราแล้วไม่ค่อยชอบหนังแนวนี้สักเท่าไร แต่ด้วยความที่กระแสของเรื่องนี้มาแรงจริงๆ ถึงขนาดมีการ เคาท์ดาวน์วันที่หนังจะลงจอ และภาพตัวอย่างที่ออกมา คิมซูฮยอน หล่อมากด้วย เลยทำให้เราสนใจมากขึ้นละตัดสินใจดูซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่าได้ออกจากกรอบหนังที่เราชอบดูไปไม่น้อย ความรู้สึกที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ ใน 2 ตอนแรกของหนังต้องยอมรับว่ายังไม่ค่อยถูกใจเรามากนักด้วย คาแรกเตอร์ของนางเอกที่เปิดตัวมา แบบนิ่งๆ ดูไร้อารมณ์ ไม่สนใจใคร เอาแต่ใจแถมยังมีความชอบที่แปลกๆ เหมือนเป็นระเบิดเวลาอยู่ตลอด ว่าง่ายๆ ก็คือนิสัยไม่ดีนั่นแหละ ส่วนพระเอกดูเป็นคนนิ่งเหมือนกันแต่มีความสุขุม ดูเก็บกด เก็บอารมณ์เก่งมาก ต่อให้เจอเรื่องอะไรมาก็จะฝืนยิ้ม ซึ่งรอยยิ้มของพระเอกนั้น เหมือนยิ้มแค่มุมปาก แต่ตานี่ยังเศร้าอยู่เลย แถมพระเอกยังต้องดูแลพี่ชายที่เป็นออทิสติก ดูแล้วน่าจะเหนื่อยใจไม่น้อย ซึ่งตัวซีรีส์ถูกเล่าผ่านนิทาน การนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะนิทานที่เล่าในแต่ละตอนจะสื่อถึงสถาณการณ์ต่างๆที่ตัวละครตัวนั้นเจอมา และทำให้คนดูอย่างเราเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมตัวละครตัวนั้นถึงมีลักษณะนิสัยเป็นแบบนี้ พอเราดูถึงตอนที่ 3 และ4 มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองในตัวนางเอก จากที่มีอคติกับตัวละครนี้ มันกลับทำให้เราเริ่มเห็นใจและได้รับรู้ในอีกมุมของตัวละครตัวนี้ เพราะในบางครั้งเรามักจะมองภาพในมุมมองของคนส่วนใหญ่ซึ่งมันอาจจะทำให้เราเห็นภาพแค่ด้านเดียว แต่พอมีอีกคนที่คิดต่างมองภาพในอีกมุมที่เราไม่เคยคิด กลับทำให้เราเข้าใจภาพๆนั้นมากขึ้น ซึ่งตัวละครนางเอกจะเป็นตัวละครที่สื่อถึงอะไรแบบนั้น และตรงนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้พระเอกได้เข้าใจความคิดของนางเองและได้กลับมามองดูสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองมากขึ้น เพราะในวัยเด็กตัวพระเอกเองก็มีปมในใจอยู่ไม่น้อย พอดูต่อไปเรื่อยๆจนถึงตอนที่ 10 มันยิ่งทำให้เราเข้าใจถึงตัวละครแต่ละตัวมากขึ้น ตัวซีรีส์ทำให้เห็นที่มาที่ไปของแต่ละตัวละครว่าทำไมถึงมีนิสัยแบบนี้ ทำไมถึงแสดงออกมาแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่า คนๆหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีได้รับการสั่งสอนมาผิดๆ อาจจะมีผลกับอารมณ์และความรู้สึกได้ แต่ใช่ว่าเราจะต้องเติบโตมาเป็นคนแบบนี้ตลอดไป ถ้าเราเจอใครที่เข้าใจในตัวเราและไม่ยอมแพ้ในตัวเราก็สามารถที่จะเรียนรู้และปรับตัวเป็นคนใหม่ได้ พระเอกและนางเอกเรื่องนี้เหมือนเป็นคนที่มีบางอย่างขาดหายไปตั้งแต่วัยเด็ก มีหลายคนที่อยากจะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดไปให้ แต่สิ่งที่ช่วยเติมเต็มให้พระเอกกับนางเอกได้ก็คือส่วนที่ขาดหายไปของกันและกัน พระเอกพอได้มาเจอกับนางเอกทำให้เขาได้ออกจากกรอบเดิมๆที่เคยทำ เพราะตัวละครอย่างพระเอกถูกเขียนมาให้ถูกผูกติดกับพี่ชาย ต้องดูแลพี่ชายไปตลอดชีวิต เขาไม่สามารถมีความฝันเป็นของตัวเองได้ ไม่สามารถที่จะทำอะไรตามใจได้เช่นกัน ยิ่งเรื่องความรักทำให้เขายิ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว ส่วนนางเอกเหมือนเติบโตมาเพียงลำพังมีแต่ความโดดเดี่ยวถูกสอนว่าพิเศษกว่าคนอื่นจะอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ไม่รู้จักความรัก พอได้มาเจอกับพระเอก ก็เหมือนทำให้นางเอกรู้สึกไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป และตัวละครนางเอกยังกลายเป็นตัวละครที่เรารักมากกว่าพระเอกไปแล้ว ในแต่ละตอนตัวละครตัวนี้มีการพัฒนา จากคนที่ดูไม่มีความรู้สึก ไม่เอาใคร ตอนนี้ตัวละครนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่าอารมณ์และความรู้สึกเป็นยังไง มันทำให้เราเอาใจช่วยนางเอกไม่น้อย ส่วนพระเอกสิ่งที่เราคิดว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดคือพี่ชาย เราก็เอาใจช่วยนะว่าจะสามารถหาทางที่เจอกันตรงกลางได้ไหม นอกจากตัวเอกของเรื่องอย่างพระเอกและนางเอกแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้ยังสื่อถึงผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต เราจะเห็นได้ชัดจากตัวละครอย่างพี่ชายพระเอกถึงจะเป็นผู้ป่วยออทิสติก แต่ก็ฉลาด ความจำดีและมีพรสวรรค์ทางด้านการวาดรูป ถ้าไม่มีใครไปกระตุ้นในสิ่งที่เขากลัว เขาก็จะสามารถใช้ชีวิตรวมกับคนอื่นได้อย่างดี นอกจากนี้ยังถ่ายทอดความคิด อารมณ์และอาการของผู้ป่วยทางจิตเวชที่รักษาตัวในโรงพยาบาลในรูปแบบต่างๆ ให้เราได้เห็นอีกด้วย มันทำให้เรารู้สึกว่าแต่ละคนที่จะมาอยู่ในจุดๆนี้ได้ ต้องเจอเรื่องอะไรที่ร้ายแรงมาก่อน อาจจะกระทบถึงจิตใจมากๆ เพราะหลายๆคนอาจจะรู้สึกกลัวผู้ป่วยประเภทนี้ ซึ่งจริงๆแล้ว เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเลือกมาอยู่ในจุดๆนี้เหมือนกัน ตอนนี้ซีรีส์เหลืออีกเพียงแค่ 6 ตอนเท่านั้น และยังไม่สามารถเดาแนวทางของหนังได้เลยว่าจะจบแบบไหน ปมต่างๆก็ยังไม่ได้เปิดเผยมากนัก ใครที่ลังเลว่าจะดูดีไหม เราแนะนำให้ดูเถอะจากใครที่ไม่ชอบดูหนังแนวดราม่า พอมาดูแล้วกลับหลงรักเรื่องนี้มากจริงๆ และสุดท้ายนี้ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเราต่อซีรีส์เรื่องนี้ อาจจะเป็นอีกมุมมองให้ทุกคนได้ลองอ่านกันดูนะคะ *** สามารถรับชมได้ทาง Netflix ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 21.00 น.*** คลิก--> https://www.netflix.com/th/title/81243992เครดิตภาพที่1 Screenshot จากช่อง youtube "The swoon" https://www.youtube.com/watch?v=89i-Fn2CqQg เครดิตภาพ 2-9 Screenshot จาก Netflix https://www.netflix.com/th/title/81243992 เครดิตภาหน้าปก Screenshot จาก Netflix https://www.netflix.com/th/title/81243992