In My Memories: 1987 When The Day Comes (2017): "การเล่าเรื่องจริงให้ออกมาเป็นภาพยนตร์ในระดับที่ต้องโค้งคำนับ บีบคั้น รุนแรง และต้องจดจำ"เพราะอดีตคือบทเรียนของอนาคตจึงไม่ควรถูกลบหรือหลงลืม ในทุกที่หรือทุกชนชาติต่างมีอดีตที่สวยงามและอดีตที่เจ็บปวด บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์และประวัติศาสตร์มักแปรผกผันกับเวลา เพราะเวลามักจะลบเลือนประวัติศาสตร์ออกไปเพราะการไม่กล่าวถึงหรือรำลึกถึง ก็สุ่มเสี่ยงให้อนุชนคนรุ่นหลังที่เกิดไม่ทันไม่ได้รับรู้กระทั่งไม้ได้รู้สึกอะไรกับหน้าประวัติศาสตร์ของชนชาติ จึงมีหนังหรือละครจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเพื่อบอกกล่าวในคนรุ่นหลังได้รู้เรื่องราวเพราะหนังและละครคือสื่อที่เข้าถึงง่ายและกว้าง เช่นกันกับเกาหลีที่มีความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ที่อาจเรียกได้ว่าเท่าที่ดูมาค่อนไปในทางความเจ็บปวด และหนังเรื่องนี้ก็คือการเอาความจริงหนึ่งในความเจ็บปวดนั้น มาบอกเล่าผ่านงานภาพยนตร์ที่เห็นชัดในเจตนา เพราะระดมดารามาคับคั่งเหมือนเป็นงานที่สร้างมาเพื่อรำลึก กระนั้นหนังก็มีความยอดเยี่ยมพอที่จะได้ทั้งเงินทั้งกล่องเรื่องเริ่มจากการเสียชีวิตของนักศึกษาคนหนึ่งจากการถูกทรมานจากเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเค้นข้อมูล และมีความพยายามปกปิดสาเหตุการตายด้วยการเร่งปิดคดี และเผาศพเพื่อทำลายหลักฐานการถูกซ้อม แต่ก็ยังมีอัยการหัวแข็งคืออัยการชเว (ฮาจองอู) ที่ท้าชนเพื่อรักษากฎหมายทว่าคนที่เขาต้องต่อกรคือฝ่ายต่อต้านและตามล่าคอมมิวนิสต์ของ ผอ.พัคแชวอน (คิมยุนซอก) ภายไต้อำนาจของประธานาธิบดีผู้พยายามสืบทอดอำนาจ กระนั้นแม้พยายามปิดข่าวอย่างเข้มแข็งและใช้ความรุนแรงแต่การเสียชีวิตของนักศึกษาหนึ่งคน ก็ได้จุดประกายให้ขบวนการนักศึกษาที่คับแค้นในการสังหารเพื่อนของพวกเขานำโดยอีฮันยอล (กังดองวอน) เริ่มเดินขบวนประท้วง และเผยให้เห็นชีวิตบางด้านของอีฮันยอลที่ได้มาพบกับยอนฮี (คิมแทรี) หญิงสาวผู้ไม่มีส่วนร่วมกับขบวนการ แต่เธอก็ยังมีส่วนร่วมในการนำข่าวออกมาจากเรือนจำของน้าชายฮันบยองยอง (ยูแฮจิน) จวบจนความตายของอีฮันยอลได้ปลุกความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของประชาชนเกาหลีที่จะโค่นล้มอำนาจเผด็จการ มองเห็นเป็นงานรำลึกแต่ผสานเรื่องจริงกับเรื่องแต่งให้เข้ากันได้เป็นเนื้อเดียว ในความเป็นหนังเรื่องนี้มีความเป็นหนังรำลึกถึงประวัติศาสตร์ที่แม้เจ็บปวดก็ไม่ควรถูกลืมหรือเลือนหายและมองเห็นเป็นการชำระประวัติศาสตร์กลายๆ เมื่อบทหนังที่เล่าถึงเรื่องความจริงที่กระทบกับบุคคลที่มีตัวตนจริงๆเกี่ยวกับกับอำนาจรัฐจริงๆ สิ่งที่ตามมาคือการเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงเป็นเรื่องจริงที่เจ็บปวดแต่เล่าออกมาเป็นความบันเทิง เมื่อคนดูจะมีอารมณ์ร่วมทั้งขุ่นเคืองขึ้งโกรธหรือคับแค้นกับการที่อำนาจรัฐทำกับประชาชนของตนเอง เพียงเพราะการอยากสืบทอดอำนาจของคนบางคน และหนังยังพาอารมณ์ไปสุดกู่กับความรู้สึกหดหู่โศกเศร้าและน้ำตาคลอในตอนท้าย ด้วยการผสานเรื่องจริงกับเรื่องแต่งจนแยกไม่ออกว่าเรื่องไหนจริงเรื่องไหนแต่ง ตัวละครตัวไหนที่มีตัวตนจริงหรือแต่งเติมแม้จะพอมองออกแต่คนดูก็เลือกเชื่อว่าเขาเหล่านั้นคือบุคคลที่เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์นั้นจริงๆบทหนังที่เล่าเรื่องหลากหลายมุมมองแต่มีจุดร่วมเดียวกัน คือการตายของนักศึกษาเพียงหนึ่งคนที่กลายเป็นเด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว เพราะจากจุดเริ่มต้นได้แตกเป็นประเด็นต่างๆมากมากมายเล่าเรื่องในหลายมุมหลายตัวละครแต่ไม่หลุด ที่น่าทึ่งคือการเข้าถึงและลึกพอจากทุกมุมที่มองแต่แก่นของเรื่องที่เริ่มจากจุดแรกก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดตลอดไม่ว่าเรื่องจะเล่าในมุมของใคร ทำให้บางครั้งก็ไม่อยากเชื่อว่าการกระทำโหดร้ายเหล่านี้คือเรื่องจริงที่มนุษย์ทำกับมนุษย์แต่ความพยายามปฏิเสธเชิงนี้ของสมองก็ถูกตอกย้ำด้วยการวางตัวละครให้ดำสุดของฝ่ายรัฐทำให้ยิ่งตอกลึกลงในใจ แม้หากมองลึกๆแล้วการกระทำทุกอย่างของเจ้าหน้าที่รัฐมาจากการทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาสิ่งที่ตามมาคือการกระทำที่ป่าเถื่อนตามคำสั่ง แต่สิ่งนั้นมันไม่ได้หมายความว่าจะถูกต้องเมื่อยังมีภาพสะท้อนของข้าราชการผู้แข็งขืนและยึดมั่นในกฎหมายและอุดมคติ มันจึงส่งผลให้ในความอึดอัดขมึงตึงกลายเป็นความเข้มข้นระทึกเร้าใจจนไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาเป็นความบันเทิงได้การแสดงที่เฉลี่ยบทกันแบบทั่วถึงแต่บางครั้งก็มองเห็นช่องว่างของบางตัวละคร ไม่แน่ใจว่าเป็นการสร้างในวาระครบรอบเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หรือไม่แม้ว่ามองเห็นอารมณ์รำลึกถึงเต็มที่ และเช่นเคยที่เมื่อมีหนังที่คล้ายเป็นหนังแห่งชาติเพื่อรำลึกถึงวาระสำคัญประมาณนี้ สิ่งที่ต้องมีคือการเป็นหนังรวมดารา ที่ขนเอานักแสดงระดับแนวหน้าสายภาพยนตร์ของทางเกาหลีมารวมกันเต็มลิสต์รายชื่อ ซึ่งเอาที่คุ้นหน้าคุ้นตาเท่าที่เห็นก็มีฮาจองอู,ยูแฮจิน,คิมแทรี,กังดองวอน,คิมยุนซอก,พัคฮีซุน และอีฮีจุน ถ้านั่นยังไม่พอจะได้เห็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตามากมายในบทสมทบรับเชิญมาเข้าฉากกันเล็กน้อยพอเป็นพิธีมากมาย และถ้าเป็นคอเกาหลีพอเห็นก็จำได้ แล้วเมื่อเป็นหนังรวมดาราที่แต่ละคนก็ต่างมีดีการเฉลี่ยบทจึงต้องออกมาอย่างทั่วถึงเพียงแต่หนังเลือกที่จะเล่าเรื่องของด้านมืดของเจ้าหน้าที่รัฐมากกกว่า เลยได้เห็นว่าตัวเอกที่แท้จริงคือตัวละคร ผอ.พัคแชวอน ของคิมยุนซอก ที่เป็นตัวเดินเรื่องแล้วให้ตัวละครต่างๆมารายล้อมและมีประเด็นมีเรื่องเล่าของแต่ละคนแล้วมาสัมผัสกันในตอนท้ายเมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำให้ความโดดเด่นในด้านการแสดง "คิมยุนซอก" รับเครดิตไปเต็มที่ เพราะแม้จะมีคำว่า “หน้าที่และความรักชาติ” มาบังหน้าแต่ความเป็นมนุษย์ก็ทำให้คนดูมีอารมณ์เกลียดชัง ส่วนตัวละครอื่นๆที่รายล้อมเมื่อมีการเฉลี่ยบทก็ทำให้มีเวลาจำกัดแต่ทุกคนก็น่าจดจำ โดยเฉพาะคิมแทรีที่ยังคงมีเสน่ห์และพลังดึงดูดสายตาและเธอยังมอบการแสดงที่เหนือธรรมดาถ้านับว่านี่คือการแสดงหนังยาวเพียงเรื่องที่สาม แถมยังขโมยซีนยูแฮจินและกังดองวอนได้แต่ใช่ว่าสองคนหลังจะต่ำกว่ามาตรฐานเขาทั้งสองแสดงจนเชื่อในสิ่งที่พวกเขายึดมั่นโดยเฉพาะกังดองวอนที่เชื่อเลยว่าคืออีฮันยอลผู้มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แต่ที่น่าเสียดายคือตัวละครอัยการชเวของฮาจองอูที่เหมือนบทหลงลืมเขาไปชั่วขณะแต่ก็ยังดีพอ และกับงานด้านภาพที่เป็นยุค 80 ที่หม่นมืดยิ่งขับเน้นอารมณ์ฉากที่ไม่มีที่ติ เสื้อผ้าหน้าผมและเพลงประกอบทำให้เหมือนกับหนังที่ถูกสร้างมาเมื่อตอนนั้นจริงๆ ทำให้แม้หนังจะออกมาเป็นเรื่องจริงผ่านจอ แต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกแถมยังปลุกจิตสำนึกบางอย่างในใจคนดูได้บ้างไม่มากก็น้อยนี่คือหนังที่เล่าเรื่องได้น่าติดตามบนความหม่นของอารมณ์ บทที่มีแกนหลักที่แข็งแรงแล้วแตกแขนงไปเล่าเรื่องหลากหลายมุมมอง แต่ก็เล่าได้อย่างมีมิติ ทำให้อารมณ์ร่วมของคนดูรู้สึกถึงความสูญเสีย โกรธกับความอยุติธรรมรู้สึกรังเกียจกับการกระทำต่อมนุษย์แบบไร้ความเป็นมนุษย์ จนบางอารมณ์อยากลุกขึ้นไปเดินขบวนด้วย เพราะบทที่เล่นกับอารมณ์คนดูให้เป็นแบบนี้ แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อยในวูบหนึ่งของความรู้สึกก็มีผล และสัมผัสได้ทำให้งานออกมาในระดับยอดเยี่ยม และในการประกาศผลความยอดเยี่ยมแพคซัง อาร์ทส อวอร์ดส ครั้งที่ 54 หนังก็กวาดรางวัลไปได้อย่างงดงามถึงสี่รางวัลในปี้นั้นคือบทภาพยนตร์ยอดเยื่ยม "คิมคยองชาน", นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม "พัคฮีซุน" , นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม "คิมยุนซอก" และรางวัลสูงสุดรางวัลแดซัง (Grand Prize) สาขาภาพยนตร์ มาการันตีความยอดเยี่ยม และหนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์เรื่องนี้ ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของเกาหลีที่ได้บอกกล่าวกับคนเกาหลีและคนดูทั่วโลกได้ถึงความเจ็บปวดที่พวกเขาเคยเจออย่างสมบูรณ์ดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก,ภาพที่ 1,2,3,4,5,6,7,8 จาก cgv.co.krหมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไปอ่านบทความผลงานของ "คิมแทรี" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Mr.Sunshine : สุภาพบุรุษตะวันฉาย (2018) งานระดับมาสเตอร์พีซ ที่คำว่า "ยอดเยี่ยม" คงยังไม่พอรีวิวจัดเต็ม Twenty Five Twenty One : ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด (2022) "ความรัก ความฝัน แรงบันดาลใจ ยุคสมัย และความจริงของชีวิต"รีวิวจัดเต็ม Little Forest (2018) "งานที่น่าจดจำของ "คิมแทรี" ภาพสวยดีต่อตา เนื้อหาดีต่อใจ"รีวิวจัดเต็ม The Handmaiden เล่ห์รักนักล้วง (2016) หนังเรื่องแรกของ "คิมแทรี" ที่หลอกซ้อนหลอก เยี่ยมซ้อนเยี่ยม สมราคารางวัลด้วยชั้นเชิงและความแรงของเนื้อหาเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ ๆ ได้ที่ App TrueID โหลดฟรี !