Chihayafuru Shimo no Ku ภาคต่อจาก Chihayafuru: Kami no Ku ที่ฉายในปีเดียวกัน ดัดแปลงมาจากมังงะที่เขียนโดย ยูกิ ซูเอ็ตสึงุ โดยข้าพเจ้านั้นไม่เคยรับชมมังงะ และ อนิเมะมาก่อน เริ่มต้นก็ดูหนังซะเลย บทความรีวิวนี้จึงไม่อาจจะนำไปเปรียบเทียบอะไรกันได้ เรื่องราวในภาคนี้ยังคงสานต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว แต่ในครั้งนี้ได้เปิดตัวละครขึ้นมาใหม่นั้นคือ ควีนแห่งคารุตะ เธอเป็นหญิงสาวที่ไม่มีใครล้มเธอและยังครองตำแหน่งควีนติดต่อกันยาวนาน ชิฮายะ หวังจะล้มตำแหน่งนั้นแล้วนำมาครองให้ได้ เพื่อใครซักคนที่เธอเชื่อมั่นนั้นเองที่เธอเริ่มจะหลงลืมว่าแท้จริงแล้ว การเล่นไพ่คารุตะ เป็นทีมไม่ใช่คนเดียว ความรู้สึกของไทจิที่มีต่อชิฮายะ และชมรมไผ่คารุตะ จึงเริ่มที่จะเปลี่ยนไป...อุปสรรคครั้งใหม่ ทำให้มนุษย์เราหลงทางเมื่อใดที่ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้แล้ว แน่นอนย่อมมีมาใหม่เสมอให้เราได้ปวดกระบาลแก้ปัญหากันจ้าละหวั่น แต่นั้นแหละชีวิต ยิ่งแล้วใหญ่กับคำว่าวัยรุ่น วัยเรียน เมื่ออุปสรรคใหม่มันถาโถมเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งบางหน เราก็เริ่มที่จะหลงทาง เราเริ่มถามกับตัวเองว่า เราจะทำมันต่อไปเพื่ออะไร เพื่อใคร และทำไม คำถามในหัววนเวียนซ้ำไปมาอยู่ แต่ในขณะที่อีกบางคน เขาเลือกที่จะเลิกถามแต่ลุกขึ้นวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อน นั้นเองทำให้เราได้รู้ว่า บางทีเราไม่ต้องถามว่าทำไม แต่ต้องทำมันแล้วจะรู้ได้เองว่าทำไมและเคล็ดลับในการหลีกหนีความสับสนวุ่นวายภายในหัวตัวเองนั้นก็คือ "นึกให้ออก ในวันที่เราสนุกกับมัน" ในวันที่สนุกกับมัน ว่าวันนั้นเรามีความสุขแค่ไหน เราสนุกแค่ไหน แล้วครั้งแรกที่ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปเส้นนี้ วันนั้นเรารู้สึกอย่างไร อย่าลืมมันเป็นอันขาด นึกให้ออก แล้วอุปสรรคที่พาเราหลงทางนั้น จะเป็นเพียงอุปสรรคอีกชิ้นที่เราต้องข้ามผ่านมันไปให้ได้ "อย่าลืมตัวตนของตัวเอง"อัฉริยะก็เป็นมนุษย์แพ้ได้ ล้มเหลวได้ สำคัญที่สุดคืออย่าหลงคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวไม่มีมนุษย์ตนใดจะอยู่คนเดียวได้ เราต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน เพื่อจะไปตลอดรอดฝั่งนั้นคือความเป็นจริงของทีมเวิร์คหากเราหลงคิดว่าสิ่งที่ฉันเผชิญอยู่เป็นสิ่งที่ฉันต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพียงตัวคนเดียว มันคงจะยากมากเลยนะที่ผ่านมันไปได้ อย่าลืมสิเธอยังมีพวกเราเป็นเพื่อนอยู่ข้าง ๆ เธอเสมอ แม้จะเป็นอัฉริยะที่เก่งกาจปานใดก็ตาม แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มันไม่เป็นไปดังคาดหวัง เราแพ้ได้นะ เราล้มเหลวได้ แต่เธอห้ามที่จะหยุดวิ่งเป็นอันขาด เธอต้องวิ่งต่อไป วิ่งไปพร้อมกับทุก ๆ คนที่อยู่ข้างเธอ เราต่างต้องล้มเหลวเพื่อไปต่อ และถ้าล้มเราจะล้มด้วย และถ้าลุกก็จะลุกด้วย ถ้าชนะก็ชนะด้วยกัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดและอย่าลืม พวกเราเป็นทีมเดียวกัน การที่จะแข็งแกร่งติดต่อกันต่อเนื้องเป็นปีได้ เพราะน้ำพักน้ำแรงจากทุกคน ทุกฝ่ายช่วยกันก่อสร้างมันขึ้นมายังไงล่ะหัวหน้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแม้กระทั่งกับคนรักของตัวเอง เมื่อถึงยามจำเป็นที่ต้องเลือกระหว่างความถูกต้อง กับ ความรัก เพราะเราจำเป็นต้องให้คนที่เรารักได้เรียนรู้ยามเมื่อเขาหลงทาง หากเรารักเขาจริงเราต้องตบหน้าแรง ๆ เพื่อให้เขาฝื้นตื่นจากภวังค์นั้น แม้จะเป็นวิถีทางที่โหดไปบ้าง แต่มันต้องตัดสินใจระหว่างความถูกผิดชอบชั่วดี กับ คนรัก มนุษย์ชนิดนี้อาจคิดว่าโดดเดี่ยวแต่ไม่เสมอไป นั้นล้วนแล้วแต่เป็นมายาคติที่คนเป็นหัวหน้าหลงผิดคิดเข้าข้างตัวเองคนเดียวเท่านั้น หัวหน้าอาจจะคิดว่าต้องทำอะไรซักอย่างหนึ่ง แต่นายจะทิ้งคนที่อยู่กับนายแล้วทำมันด้วยตัวคนเดียวแบบนั้นก็จะเป็นการเห็นแก่ตัวสิ้น สำคัญที่สุดคืออย่าหลงคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียว ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนก็ตามภาคนี้สารของหนัง และบทกระแทกรุนแรงในทางจิตอาจจะแผ่วเบาหวิวกว่าภาคก่อน (เพราะด้วยเหตุว่ามันจะทำให้ครบ 3 ภาคน่ะแหละ การตลาดสิ้นดี!) แต่ก็เป็นอีกภาคที่ชวนให้เราคบคิดกับตัวเองว่า หากวันหนึ่งเราเกิดหลงลืมตัวตนเองไป หลงทางไปกับอุปสรรคที่มันเข้ามาใหม่รุนแรง หนักหน่วง หยาบกร้าน โหดร้ายกับชีวิตเรามาก ๆ เราจะทำยังไง เราจะจัดการมันด้วยตัวคนเดียว หรือจะขอยืมมือใครบางคนที่เราไว้ใจ ให้เข้ามาช่วยเราอีกแรง ใช่ อย่าหลงคิดว่าตัวเองอยู่คนเดียว เพราะไม่มีใครอยู่คนเดียว ทุกคนต่างมีใครบางคนที่ห่วงใยเราจากมุมไกล ๆ ของแปซิฟิกเหนือกับใต้อยู่เสมอ แต่นึกให้ดี นึกให้ออกสิว่า ใครคนนั้นเขาคือใคร รอยยิ้มของเขาหรือเปล่าที่ทำให้เรามีกำลังใจจะก้าวเดินแล้วออกวิ่งสุดกำลังต่อไป ตัวหนังในภาคนี้ไม่ได้จบลงด้วยชัยชนะที่ได้เห็นเหมือนภาคก่อน แต่จมด้วยความพ่ายแพ้ และเกือบตลอดทั้งเรื่องก็จะเป็นอย่างนั้น พ่ายแพ้ต่อเกมไผ่คารุตะ หรือแม้กระทั่งพ่ายแพ้ต่อเส้นทางชีวิต แต่ตัวละครในเรื่องก็เลือกที่ลุกขึ้นออกวิ่งใหม่เสมอ ล้มลุกคลุกคลานกับทั้งทีม แต่ก็ลุกขึ้นมาด้วยกันและสู้ต่อไปไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันสะท้อนให้เห็นว่าชีวิตเราไม่ได้จะต้องชนะเสมอไป บางทีการแพ้มันได้สอนอะไรหลาย ๆ อย่างแก่เรา เรียนรู้จากมันและก้าวเดินต่อไปอย่างนักรบ แล้วซักวัน ซักวันหนึ่งวันนั้นที่เราฝันหาจะมาถึงและอีกครั้งสำหรับหนังไตรภาคเรื่องนี้ แค่การตบไผ่ก็ลุ้นขนตั้งฟูฟ่อง จิกกัดเล็บนิ้วมือ นิ้วเท้าซะขนาดเกร็งทั้งตัวเลยทีเดียว-มายุ มัตสึโอกะ (ผู้แสดงเป็นควีนคารุตะ) ทั้งสีหน้า แววตา รอยยิ้ม ท่าทาง มันสวยหมดจดสมกับบทควีนขนาดแท้ เอาซะจิตใจที่ถวายให้น่อง ซึสุ ฮิโรเสะ (ผู้แสดงเป็นชิฮารุ) หวั่นไหวเลยทีเดียว รูปภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=wSkd3aFEUU4