เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนังสงครามมาก ถึงแม้เรื่องราวส่วนใหญ่จะเป็นเส้นเรื่องเดิม ๆ มีตัวเอกคือ ผู้ชนะ และตัวร้ายคือ ผู้แพ้ อาจสร้างจากประวัติศาสตร์จริงบ้าง แต่งเติมบ้าง แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือการเล่าเรื่องของผู้กำกับและเกร็ดลับที่ซ้อนอยู่ประเด็นสำคัญก็คือ หนังสงครามทุกเรื่องสะท้อนให้เราได้เห็นความเลวร้ายของมันด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน เราจำเป็นต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองโลกให้มากขึ้น แต่สำหรับใครที่ไม่ต้องการรับสาระที่มันหนักจนเกินไปก็สามารเรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามผ่านหนังที่ชื่นชอบได้ บทความนี้เราจะพาไปไล่เรียงไทม์ไลน์ของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ผ่านเรื่องราวของหนังและซีรีย์ ทั้ง 6 เรื่อง ดังนั้นเพื่อความไม่สับสนก็ไปไล่เรียงดูกันตามนี้ได้เลย19171917 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงท้าย ๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสองนายทหาร สคอฟีลด์ และ เบลค ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจสำคัญ คือ การนำจดหมายไปแจ้งยังแนวหน้าเพื่อถอนกำลังทหารกลับ ซึ่งภารกิจสำคัญนี้ต้องรวดเร็วและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพราะเดิมพันด้วยชีวิตทหารกว่า 1,600 นาย เป็นหนังสงครามแห่งปีที่ถ่ายทำแบบ Long Take กำกับภาพยนตร์โดย Sam Mendes การันตีด้วยรางวัลมากมายจากหลายเทศกาลหนังทั่วโลกและยังเข้าชิงออสการ์อีก 10 รางวัลเรื่องราวตลอดทั้งเรื่องยิงกันสนั่นไหวหวั่น แต่ดูได้เพลิน ๆ ไม่เบื่อเลย หนังทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ทำให้ได้ร่วมลุ้น ตื่นเต้น เหมือนเราได้อยู่ในเหตุการณ์จริง ซึ่งเดอะแบกของเรื่องคงหนีไม่พ้น George MacKay นายทหารรูปงามที่ฝากฝีมือการแสดงได้อย่างน่าจดจำ นอกจากนี้ ยังเสริมทัพด้วยนักแสดงชั้นแนวหน้ามากมาย อาทิ Richard Madden, Benedict Cumberbatch, Andrew Scott, Mark Strong และ Colin Andrew Firthสรุปสั้น ๆ เนื่องจากหนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้นมีไม่มาก จึงอยากแนะนำว่า 1917 เป็นหนังสงครามน้ำดีที่คุณต้องดูสักครั้งในชีวิตall Quiet on The Western Front (แนวรบด้านตะวันตกเหตุการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง)ปกติแล้วหนังหรือซีรีย์เกี่ยวกับสงครามโดยส่วนใหญ่มักเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของผู้ชนะ แต่ซีรีย์เรื่องนี้กลับถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านแว่นของผู้แพ้ โดยมีตัวเอกอย่าง ‘พอล’ พลทหารเยอรมันที่อาสาไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ร่วมกับเพื่อน ๆ ของเขา เหล่าหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่กำลังคึกคะนอง ถูกว่านล้อมด้วยความรักชาติของลัทธิชาตินิยมนาซี ว่าการเสียสละตนเพื่อเข้าร่วมสงครามถือเป็นเกียรติอันสูงสุด ส่วนใครที่ปฏิเสธก็จะโดนตีตราว่าขี้ขลาดและไม่รักชาติ อันที่จริงแล้วพวกเขาควรมีชีวิตเพื่อคิดถึงเรื่องอื่นหรือสานความฝันในวัยเยาว์ แต่ตรงกันข้ามพวกเขาเหล่านั้นกลับขาดประสบการณ์ชีวิตแบบปกติ กลายเป็นกลุ่มคนที่สูญหาย (Lost generation) ต้องเผชิญความจริงอันแสนโหดร้าย และมีชีวิตในสงครามที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่วาดฝันเส้นเรื่องจะเล่าตั้งแต่การเข้าสู่สงครามของพอล เป็นช่วงที่ฝ่ายเยอรมนีเริ่มอ่อนแอและเล่าถึงการเติบโตของมิตรภาพในระหว่างสงคราม เราจะได้เห็นการสู้รบในสนามเพลาะ ความบ้าอำนาจจมไม่ลงของเหล่านายพล ในขณะเดียวกันก็ฉายภาพอีกด้านของการสู้รบทางการทูต การเจรจาต่อรองและการพ้ายแพ้ของเยอรมนีถือว่าเป็นหนังสงครามอีกเรื่องที่ทำออกมาได้อย่างดี โดยเฉพาะจังหวะการเปลี่ยนเรื่องราวแต่ละฉากจะมี Sound เติมแต่งเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างลงตัวสุดท้ายแล้วการนั่งดูหนังที่ยาวกว่า 2 ชั่วโมงนั้นถือว่าคุมค่า เพราะไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงและประวัติศาสตร์สงครามเท่านั้น แต่ยังได้ข้อคิดว่าสงครามนั้นโหดร้ายมากแค่ไหน แม้หนึ่งชีวิตก็ควรมีคุณค่าที่จะพบความสุข…และความหมายที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตก็คือ การมีชีวิตอยู่นั้นเอง…Munich: The Edge of War (มิวนิค ปากเหวสงคราม)หนังเล่าเรื่องช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของการเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุโรปกำลังจะเข้าสู่สงคราม ขณะที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เตรียมบุกเชโกสโลวาเกีย ในขณะเดียวกันรัฐบาลของเนวิลล์ เชมเบอร์เลน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางออกอย่างสันติให้กับเหตุการณ์นี้ โดยมีตัวเอกของเรื่องอย่าง ฮิวจ์ ลีแกต เจ้าหน้าที่รัฐของอังกฤษเลขาของเนวิลล์ เชมเบอร์เลน และ พอล ฟอน ฮาร์ทมันน์ นักการทูตเยอรมัน ทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักกัน แต่เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน มิตรภาพจึงต้องเลิกรา ทั้งคู่ต่างไปมีเส้นทางของตนเอง แต่ในครั้งนี้เพื่อนเก่าทั้งสองจะต้องกลับมาร่วมมือกันเพื่อหยุดหยั่งการเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่ามกลางสมรภูมิการเมืองที่ร้อนระอุ ในหนังเราจะได้เห็นด้านมืดของอำนาจ การกีดกันทางเชื้อชาติจนนำมาสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว และจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่สงครามของฮิตเลอร์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็นำเสนอได้อย่างหน้าติดตามDunkirkเรื่องราวความล้มเหลวของทางการอังกฤษในการส่งทหารไปร่วมรบกับฝรั่งเศสช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในฐานะฝ่ายสัมพันธมิตร แต่กลับต้องพ่ายแพ้ต่อทหารเยอรมัน และถูกนาซีปิดล้อมที่ชายหาดดันเคิร์ก เรื่องราวการเอาตัวรอดของทหารอังกฤษที่ต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอดกลับบ้านอย่างปลอดภัย แต่การอพยพครั้งนี้มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อทหารเยอรมันพยายามรุกคืบ และเล่นงานฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งทางบกและทางอากาศอย่างไม่ลดละ หนังได้แบ่งเหตุการณ์ออกเป็นสามเหตุการณ์ และเรื่องราวก็ค่อย ๆ ขยับมาบรรจบกันเรื่อย ๆหากดูตามแผนที่โลกจะพบว่าระยะทางระหว่างชายหาดดันเคิร์กกับชายฝั่งอังกฤษไม่ห่างกันมากหนัก แต่หนทางที่จะอพยพนั้นกลับแสนยากเย็น เป็นหนังสงครามอีกเรื่องที่มีฉากยิงปะทะกันน้อยมาก ไม่มีบู๊สนั่นหวั่นไหว แต่ด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องแบบ ‘คริสโตเฟอร์ โนแลน’ จึงต้องใช้การวิเคราะห์ ตีความ บทหนังพอสมควรสุดท้ายหนังเรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่า ถึงแม้ทหารจะเป็นฮีโร่ในสงคราม แต่ประชาชนคนธรรมดาก็อาจจะเป็นฮีโร่ของเหล่าทหารกล้าได้เช่นกัน เรื่องราวการอพยพอันโกลาหลแห่งมวลมนุษย์ชาติจะจบลงอย่างไร…ความผิดพลาดและหายนะทางการทหารของกองทัพอังกฤษจะจบลงอย่างไร ไปติดตามกันได้เลยPearl Harborเป็นเรื่องราวรัก 3 สามเศร้าของสองนักบินเพื่อนรักประจำกองทัพอากาศสหรัฐฯ อย่าง ราฟ แม็คคอว์ลีย์ และแดนนี่ วอล์คเกอร์ หนังเริ่มต้นด้วยเรื่องราวความรักของ ราฟ กับ เอเวลีน จอห์นสัน พยาบาลสาวสวยที่ทำงานในกองทัพเรือ ทั้งคู่เริ่มต้นสายสัมพันธ์กันได้ไม่นาน ราฟ ก็ต้องเข้าร่วมรบกับนักบินอังกฤษในสงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งโชคร้าย ราฟ เครื่องบินตกในทะเล เอเวลีน จึงคิดว่าเขาได้จากเธอไปแล้ว ช่วงเวลานั้นมันทำให้เธอเศร้าและใจสลาย แดนนี่จึงต้องค่อยดูแลเธออย่างใกล้ชิด จนก่อเกิดความรักขึ้นในใจของคนทั้งสอง แต่เหตุการณ์ก็กลับพลิกผัน เมื่อแท้ที่จริงแล้ว ราฟ ยังมีชีวิตรอด และกลับมาหาเอวลีน แต่กลับพบความจริงว่าเธอมีคนรักใหม่แล้ว ซึ่งก็คือเพื่อนรักของเขา ‘แดนนี่’ นั้นเองนอกจากเส้นเรื่องราวความรักโรแมนติก อีกเส้นหนึ่งคือเหตุการณ์จริงที่ได้นำมาสู่จุดเปลี่ยนของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 การลอบโจมตีของกองทัพญี่ปุ่น ณ เพิร์ลฮาร์เบอร์ บนเกาะโออาฮู (Oahu) โดยที่กองทัพสหรัฐฯ ไม่ทันตั้งตัวและขาดการเตรียมพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย นำมาสู่การสูญเสียที่ไม่อาจยอมรับได้ จบลงด้วยการพาประเทศเข้าร่วมสงครามอย่างเต็มตัวนอกจากภาพสวย นักแสดงหน้าตาดีจนได้แจ้งเกิดเป็นนักแสดงระดับตำนานกันหลายคนแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้สร้างตำนานเพลงรักอันโด่งดังอย่างเพลง There You’ll Be ซึ่งครองใจใครหลาย ๆ คน และทุกวันนี้ก็ยังต้องเปิดฟังMidwayเป็นเหตุการณ์ที่ต่อจาก Pearl Harbor ที่จะเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปอย่างสิ้นเชิง Midway เป็นชื่อของหมู่เกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างญี่ปุ่นและอเมริกา จึงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากทางด้านความมั่นคงและทางทหาร ญี่ปุ่นจึงต้องการยึดครองเกาะแห่งนี้ให้ได้หนังเริ่มปูเรื่องราวตั้งแต่เหตุการณ์ญี่ปุ่นถล่มอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ซึ่งจะคาบเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้ ความสูญเสียในครั้งนั้นเป็นเหตุให้กองทัพสหรัฐฯ ต้องโต้กลับด้วยปฏิบัติการ Midway นำมาสู่ชัยชนะอย่างท่วมท้นของกองทัพสหรัฐฯ ตรงกันข้ามกับกองทัพเรือญี่ปุ่นที่พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะผลักให้ญี่ปุ่นเป็นตัวร้ายเฉกเช่นหนังสงครามเรื่องอื่นๆ แต่จุดจบกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ซึ่งมันก็ค่อยข้างตลกร้ายที่ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้สุดท้ายแล้วอย่าลืมว่าประวัติศาสตร์มักสร้างจากผู้ชนะและพวกเราก็กำลังกลายเป็นผู้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ จากสถานการณ์ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้น ล้วนทำให้เราสนใจเรียนรู้ประวัติศาสตร์ความผิดพลาดในอดีตเพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและป้องกันไม่ให้สงครามโลกครั้งที่ 3 เกิดขึ้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นดังคำพูดของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่ว่า…I do not know how the Third World War will be fought, but I can tell you what the Fourth-rocksผมไม่รู้ว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะรบกันอย่างไร แต่ผมบอกคุณได้ว่าพวกเขาจะใช้อะไรในสงครามโลกครั้งที่สี่ สิ่งนั้นคือ ก้อนหินเครดิตภาพ :ภาพปก : 1, 3 และ ภาพประกอบ : 1/ Instagram : 1917 [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]ภาพปก : 2 และ ภาพประกอบ : 2.1 / Instagram : amusementparkfilms [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]ภาพประกอบ : 2.2 / Instagram : netflixth [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]ภาพประกอบ : 3.1 และ 3.2 / Instagram : netflixfilm [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]ภาพประกอบ : 4 / Instagram : dunkirkmovie [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]ภาพประกอบ : 5 / Facebook :Iflix [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]ภาพประกอบ : 6 / Instagram : midwaymovie [แก้ไขโดย วาฬสีนิล ]จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !