Movie Review Exhuma ขุดมันขึ้นมาจากหลุม (2024) ภูต ผี ปีศาจ ไสยศาสตร์ที่ซ้อนความสยองไว้หลังความลุ้นระทึกและปมปริศนาจนสามารถสะกดอารมณ์ด้วยความหลอนขนหัวลุก รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ถ้าว่ากันที่หนังผียอมรับว่ากินผู้เขียนยากเพราะเป็นคนไม่กลัวผีแถมยังช่างเลือกเพราะหนังสยองที่จ้องจะมาขายความแหวะจะไม่ค่อยดูเพราะมันไม่ใช่ความบันเทิงสำหรับผู้เขียนคือไม่ประเทืองอารมณ์ กระนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ดูเอาเสียเลยถ้ามีหนังผีที่น่าสนใจก็ดูได้เพียงเลือกดูสักหน่อยไม่ได้เป็นความชอบหลักที่จะต้องขวนขวายหาดูเช่นเดียวกับหนังผีเกาหลีเรื่องนี้ เพราะถ้าเอ่ยถึงหนังผีเกาหลีก็มีที่อยู่ในใจบ้างอย่าง A Tale of Two Sisters (2023) หรือที่ชื่อไทยว่าตู้ซ่อนผีนี่คืออย่างชอบเลยเพราะเป็นหนังผีที่ไม่ใช่แค่ผีแต่มีอะไรซ้อนทับอยู่ในนั้น และนั่นคือหนังผีเกาหลีที่เข้ามาในยุคแรกๆแต่อย่างที่บอกคือเมื่อความน่ากลัวของผีทำอะไรไม่ได้สิ่งที่จะสามารถจัดการผู้เขียนได้ก็คือเรื่องของอารมณ์ นั่นทำให้ตัดสินใจดูหนังผีเกาหลีที่ได้รับคำแนะนำจากท่านผู้อ่านในเพจว่าให้ลองดูเพราะมีบางอย่างที่ผู้เขียนน่าจะชอบแต่เอาจริงคือก็ไม่ได้อยากดูมากมายขนาดนั้น จนกระทั่งเมื่อได้ดูจบลงไปกลายเป็นว่านี่คือหนังผีที่ต้องยกนิ้วให้แม้ว่าจะไม่น่ากลัวแต่อะไรหลายๆอย่างมันดีเกินกว่าจะเก็บไว้คนเดียว ฮีฮวาริม (คิมโกอึน) หญิงสาวที่เป็นร่างทรงได้เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมลูกศิษย์ยุนบองกิล (อีโดฮยอน) เพราะได้รับคำเชิญให้ไปแก้ปัญหาเรื่องลี้ลับที่ลูกหลานของคนอเมริกันเชื้อสายเกาหลีเหมือนถูกวิญญาณบรรพบุรุษรังควาญ เธอจึงรับงานมาเพื่อแก้ปัญหานั้นและคนที่เธอต้องร่วมงานด้วยคือซินแสคิมซังด็อก (ชเวมินชิก) และโกยองกึน (ยูแฮจิน) สัปเหร่อที่เป็นคริสต์ศาสนิกชน ซึ่งเขาทั้งสองประกอบอาชีพย้ายสุสานบรรพบุรุษเพื่อหาทำเลที่ดินขายและแก้ไขเรื่องลี้ลับในตระกูลเศรษฐีไปในตัว แล้วงานที่อีฮวาริมรับมาก็คือการขุดเอาร่างของบรรพบุรุษของลูกค้าที่อยู่อเมริกาเพื่อมาเผาปัดเป่าสิ่งที่รังควาญครอบครัวอยู่แต่เมื่อไปถึงหลุมศพเข้าจริงซินแสคิมซังด็อกกลับสัมผัสได้ถึงความเสี่ยงเพราะมีพลังชั่วร้ายบางอย่างจึงจะไม่รับงาน ทว่าค่าตอบแทนก็หอมหวานเกินห้ามใจเขาทั้งสี่จึงตกลงทำงานแต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยทำให้วิญญาณผีบรรพบุรุษผู้เคียดแค้นที่ถูกฝังในที่ที่ไม่ดีและหิวโหยหลุดออกไปทำร้ายลูกหลานแต่เรื่องทั้งหมดอาจไม่ได้มีแค่นั้นและอาจลุกลามมาคุกคามคนทั้งสี่ ความยอดเยี่ยมในการร้อยเรียงเรื่องราวให้น่าติดตามมีความน่าฉงนสงสัยทั้งที่ไม่ได้มีความซับซ้อนมากมาย จะว่าไปบทหนังของผู้กำกับจางแจฮยอน (Svaha: The Sixth Finger (2019)) ก็ไม่ต่างจากการเอาวัฒนธรรมเกาหลีมาขายบนจอแต่เป็นเรื่องของพิธีกรรม ไสยศาสตร์และความเชื่อ นั่นคือเอาพิธีกรรมวิธีการของร่างทรง ซินแส และสัปเหร่อผู้เชี่ยวชาญการทำศพแบบเกาหลีมาใช่งานได้อย่างน่าสนใจ โดยวางเรื่องลี้ลับเรื่องของวิญญาณภูตผีที่มันข้องเกี่ยวกับเรื่องพิธีกรรมที่เล่านี้โดยตรง แถมยังมีความหมายโดยนัยกับเรื่องความเจ็บปวดจากประวัติศาสตร์ที่ชาติถูกรุกรานเล่าผ่านการเดินเรื่องที่แบ่งเล่าเป็นบทที่ยอมรับว่าสามารถร้อยเรียงเรื่องราวที่ยิบย่อยได้ลงตัวน่าติดตามทั้งที่มีเวลาเพียงสองชั่วโมง ทั้งยังมีความน่าฉงนสงสัยว่าทำไมเรื่องราวในปัจจุบันถึงเดินมาถึงจุดนี้ที่เล่าแบ่งเป็นสองส่วนจนมีไคลแมกซ์ซ้อนไคลแมกซ์ นั่นคือเมื่อคลี่คลายไปอย่างหนึ่งก็เปิดมาอีกอย่างหนึ่งที่ทำได้เยี่ยมมากในการเชื่อมโยงได้อย่างสนิทใจผลที่ได้คือหนังลื่นไหลเดินไปข้างหน้าอย่างไม่มียั้ง สะกดอารมณ์ด้วยความหลอนมากกว่าน่ากลัวพร้อมอาการลุ้นระทึกรุนแรงแม้จะสยองอยู่เบื้องหลังแต่ยังจัดการได้ แน่นอนว่าหน้าหนังคือหนังผีแต่เรื่องนี้ดูไม่น่ากลัวเพราะภาพของผีที่นำเสนอออกมาเป็นความหลอนเสียมากกว่า แน่นอนหนังผีมันต้องมีความเป็นหนังสยองเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นแต่ที่ฉลาดคือการไม่พยายามชูความสยองออกมาจนออกนอกหน้า แต่ความสยองนั้นถูกซ้อนไว้อยู่ข้างหลังมิติทางใจที่รุนแรงในเรื่องที่เล่าที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวด้วยเรื่องการรุกรานจากญี่ปุ่นที่อาจไม่เปิดหน้ามาตรงๆแต่ก็จับต้องได้ สิ่งที่ตามมาคืออารมณ์คนดูจะถูกสะกดไว้ด้วยความสงสัยเพื่อที่จะค่อยๆคลี่คลายและในความคลี่คลายนั้นมันดันมาพร้อมความลุ้นระทึกที่จังหวะจะโคนที่ถูกต้องลงตัวทั้งภาพ บรรยากาศ และดนตรีประกอบ เพราะเรื่องที่ต้องการเล่ามันเล่าได้หนังก็เดินหน้าไปหาความสยองเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วเมื่อไม่มีทางเดาออกก็เหมือนมืดแปดด้านก็คือหนังสามารถจัดการอารมณ์คนดูได้เพราะชัดเจนที่จะมาเล่นกับอารมณ์ในส่วนลึกมากกว่าจะเอาความสยองขวัญสั่นประสาทมาขาย เอาง่ายๆคือคนดูพร้อมจะสะพรึงหรือถอนหายใจไปพร้อมๆกับตัวละครนั่นเพราะเหมือนอยู่ในสถานการณ์นั้น อาจมีนักแสดงฝีมือดีถึงสี่คนมาร่วมจอในเรื่องเดียวกันแต่ความเยี่ยมคือการเฉลี่ยบทให้เท่ากันมีความสำคัญเท่ากันได้อย่างน่าทึ่ง เพราะมีไม่บ่อยที่ตัวละครนำเยอะขนาดนี้ที่บทจะไม่เทไปหาใครคนใดคนหนึ่งแต่เรื่องนี้ทำได้ทำให้การแสดงของทั้งชเวมินชิก,คิมโกอึน,ยูแฮจินและอีโดฮยอนจึงออกมาศีลเสมอกัน ซึ่งในส่วนของพื้นฐานตัวละครอาจไม่ต้องเพราะเรื่องที่เล่าไม่ได้มีอะไรให้จับจ้องตรงนั้นการแสดงออกของนักแสดงทั้งสี่จึงออกมาอย่างที่ต้องการให้คนดูรู้สึก เพราะอย่างที่บอกคือหนังมาเพื่อเล่นกับอารมณ์และบทหนังกับการเล่าเรื่องก็สามารถจัดการตรงนั้นได้คือดึงอารมณ์คนดูได้จนเหมือนกับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น จนกระทั่งว่ารู้สึกไม่ต่างจากตัวละครคือจังหวะที่จะสะพรึงก็ได้จะเฉยๆก็ได้เพราะผ่านเรื่องแบบนี้มานักต่อนักหรือแม้กระทั่งถอนหายใจเพราะหนักใจกับสิ่งที่ต้องเจอ และที่ร้ายกาจคือการแสดงของนักแสดงทั้งสี่ทำให้คนดูแทบจะถอนหายใจไปพร้อมๆกับภาพที่เห็นพวกเขาบนจอ เข้มจัดอึดอัดกดดันลุ้นระทึกทำให้สิ่งที่หนังมีสามารถจัดการคนที่ไม่กลัวผีได้อย่างชะงัด เอาจริงคือในสายตาผู้เขียนหนังไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ใครๆบอกอาจเพราะผู้เขียนไม่กลัวผีหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะไม่มีความรู้สึกนั้นให้สัมผัสเลย หรือหนังน่ากลัวแต่ทำอะไรผู้เขียนไม่ได้ก็ช่างมันเถอะแต่ในฐานะคนดูหนังเพื่อความบันเทิงเรื่องนี้คือเป็นงานคุณภาพในฐานะหนังที่ดูเป็นความบันเทิงสักเรื่องในเวลาเพียงเท่าที่มี เพราะหนังมีเรื่องให้เล่ามากพอควรแต่ไม่มีหลงลืมอะไรบทหนังสามารถร้อยเรียงเรื่องราวมากมายได้เยี่ยมการันตีด้วยรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเวที 2024 (60th) BaekSang Arts Awards รวมถึงนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคิมโกอึนและนักแสดงหน้าใหม่ชายยอดเยี่ยมอีโดฮยอน เพราะเมื่อหนังสามารถเล่าเรื่องให้คนดูติดตามอย่างใกล้ชิดปานเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวแล้วทุกอย่างจะตามมาเองทั้งความอึดอัดกดดันอาการลุ้นระทึกมีความสยองขนหัวลุกบ้างเป็นบางคราอันนี้ว่ากันที่คนไม่กลัวผี หรืออาจเพราะต้องการมาจัดการอารมณ์คนไม่กลัวผีเลยมาทางนี้ก็สุดจะคาดเดาเอาเป็นว่าเวลาสองชั่วโมงไม่มีนาทีไหนที่เป็นความน่าเบื่อกลับกันคือเข้มจัดน่าติดตามอย่างชะงัด ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7 จาก Instagram showbox.movie เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !