ราชวงศ์อังกฤษถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของสหราชอาณาจักรที่ดำเนินผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ชีวประวัติของสมาชิกในราชวงศ์ชั้นสูงหลายคนถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานทั้งหนังสือ ภาพยนตร์และซีรีส์ ผ่านการตีแผ่เรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงและการดัดแปลงเนื้อหาเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชม บทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านไปเปิดลิสต์ซีรีส์เกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษที่ครบรสทั้งชิงรักหักบัลลังก์ แย่งชิงอำนาจและชิงไหวชิงพริบ จากอดีตจนถึงปัจจุบันนั้นมีอยู่หลายเรื่องที่ได้รับกระแสตอบรับทั้งด้านบวกและลบ กระนั้นความสนุกและจุดเด่นของซีรีส์แนวนี้นับว่าถูกใจแฟนซีรีส์อยู่ไม่น้อย โดยซีรีส์ที่ผู้เขียนจะแนะนำทั้ง 10 เรื่องนี้ได้เรียงลำดับตามไทม์ไลน์ไว้แล้ว ใครที่กำลังอินกับเรื่องราวของราชวงศ์อังกฤษก็อย่าพลาดกันเลยนะคะ!1. The Hollow Crown (2 SS | 2012-2016)▶ เรื่องย่อ: เรื่องราวของสามกษัตริย์แห่งอังกฤษ พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 Richard II (Ben Whishaw), พระเจ้าเฮนรีที่ 4 Henry IV (Rory Kinnear, Jeremy Irons) และ พระเจ้าเฮนรีที่ 5 Henry V (Tom Hiddleston) กับการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด การแย่งชิงอำนาจ ความขัดแย้ง และการทรยศ ครอบคลุมไปถึงช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งภายในอังกฤษซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามดอกกุหลาบ (The Wars of the Roses) อันยาวนาน และอีกสองกษัตริย์ที่ถูกกล่าวถึงอย่าง พระเจ้าเฮนรีที่ 6 Henry VI (Tom Sturridge) และ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 Richard III (Benedict Cumberbatch)▶ ความน่าสนใจ ดัดแปลงจากบทละครประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ และสร้างโดย BBC ซีรีส์ถ่ายทำในภูมิทัศน์และสถาปัตยกรรมอันงดงามตระการตา รวมถึงการนำเสนอผ่านภาษาที่ทรงพลังและน่าจดจำที่สุดในผลงานของเช็คสเปียร์ เป็นเรื่องที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาษาสวยและยากด้วยเช่นกันซีรีส์ได้รับการวิจารณ์ในเชิงบวกจากเหล่านักวิจารณ์ และซีซั่นแรกของซีรีส์ในตอน Richard II ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTAs สาขา Best Single DramaBen Whishaw ผู้รับบท พระเจ้าริชาร์ดที่ 2 และ Simon Russell Beale ผู้รับบท ฟอลสตาฟฟ์ ได้รับรางวัล British Academy Television Awards สาขานักแสดงนำและนักแสดงสมทบตามลำดับ ในขณะที่ Jeremy Irons ผู้รับบท พระเจ้าเฮนรีที่ 4 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมBenedict Cumberbatch ที่แสดงในซีซั่นที่สองในบทของ พระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA Television Award สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมซีรีส์มี 2 ซีซั่นกับจำนวนทั้งหมด 7 ตอน (ซีซั่นแรก 4 ตอน และ ซีซั่นที่สอง 3 ตอน) เรื่องนี้ถือว่าเข้มข้นถูกใจผู้ชมที่ชื่นชอบแนวการเมือง การชิงไหวพริบและสงคราม อีกทั้งยังเต็มไปด้วยนักแสดงมากฝีมือและเป็นที่รู้จักของแฟนชาวไทย เรื่องราวอาจไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่หากจะพูดถึงซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษก็ต้องนึกถึงเรื่องนี้มาเป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน▶ คะแนนจากผู้เขียน: 8.5 / 102. The White Queen (1 SS | 2013)▶ เรื่องย่อ: ในช่วงสงครามสองฝ่ายระหว่างตระกูลยอร์กกับตระกูลแลงแคสเตอร์ เอลิซาเบธ วูดวิลล์ (Rebecca Ferguson) สตรีสามัญชนผู้มีความงดงามเป็นหนึ่งได้สูญเสียสามีไปในสงคราม ทว่าต่อมานางได้บังเอิญพบกับ กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ (Max Irons) ผู้ที่ถูกตาต้องใจนางตั้งแต่แรกเจอจนเกิดเป็นความรักและทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันอย่างลับๆ ท่ามกลางการคัดค้านจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ ที่ปรึกษารวมถึงประชาชน ภายหลังเอลิซาเบธก้าวสู่การครองบัลลังก์ด้วยความช่วยเหลือของผู้เป็นแม่ที่มีเชื้อสายแม่มด ก่อเกิดเป็นเรื่องราวความขัดแย้งในการแย่งชิงบัลลังก์แห่งอังกฤษของหญิงสาวสามคน อันได้แก่ อลิซาเบธ วูดวิลล์ ที่อยู่ในตำแหน่งพระราชินี, มาร์กาเรต โบฟอร์ต (Amanda Hale) หญิงที่หวังจะให้ลูกชายของนาง 'เฮนรี ทิวดอร์' ได้ครองบัลลังก์ และ แอนน์ เนวิลล์ (Faye Marsay) ลูกสาวของลอร์ดวอริกหรือผู้สร้างกษัตริย์ (The Kingmaker) เมื่อนางได้แต่งงานกับ กษัตริย์ริชาร์ด ดยุกแห่งยอร์ก (Aneurin Barnard) ผู้เป็นน้องชายของเอ็ดเวิร์ดที่ 4▶ ความน่าสนใจ The White Queen เป็นซีรีส์แนวดราม่าอิงประวัติศาสตร์ที่สร้างโดย BBC กำกับโดย Colin Teague, James Kent และ Jamie Payne สร้างจากนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของ Philippa Gregory ชุด The Cousins' War เรื่อง The White Queen, The Red Queen และ The Kingmaker's Daughter การดำเนินเรื่องรวดเร็ว ไม่น่าเบื่อ แทรกความแฟนตาซีนิดๆ จากเรื่องของเวทย์มนตร์และคำสาป โดดเด่นเรื่องการเชือดเฉือนของตัวละครโดยเฉพาะสามตัวละครหลักของเรื่อง ลิซาเบธ วูดวิลล์, มาร์กาเรต โบฟอร์ต และ แอนน์ เนวิลล์ ซึ่งเป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่อศึกชิงบัลลังก์ตามประวัติศาสตร์ จุดเด่นสำคัญอีกอย่างคือนักแสดงและเคมีระหว่างพวกเขา อย่างตัวของพระเอกนางเอก เอ็ดเวิร์ดที่ 4 กับ เอลิซาเบธ วูดวิลล์ ที่รับบทโดย Max Irons กับ Rebecca Ferguson ถือว่าเป็นคู่ที่เคมีดีมากๆ นอกจากความสวยหล่อแล้วยังดึงเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้ดี ทำให้เรารู้สึกอินไปกับความสัมพันธ์ของพวกเขา ทั้งคู่ยังเป็นกษัตริย์-ราชินีที่แต่งงานกันด้วยความรักแม้จะพบกับกระแสต่อต้านก็ตาม หรือจะเป็นคู่ของน้องชาย ริชาร์ด กับ แอนน์ เนวิลล์ ที่ทำคนดูลุ้นตามด้วยเหมือนกันเรื่องราวอยู่ในช่วงสงครามดอกกุหลาบ ทว่าตัวซีรีส์กลับไม่ได้เน้นฉากแอ็กชันหรือฉากการรบอย่างที่ควรจะเป็น ฉากหลังของเรื่องและคอสตูมต่างๆ ทำออกมาได้ดี เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่มีจำนวน 10 ตอนจบ มีซีรีส์ภาคต่อที่สามารถแยกดูได้ ประกอบกับตัวละครมีการเปลี่ยนนักแสดงยกชุด คือ The White Princess และ The Spanish Princess แต่หากอยากดูเพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกันตามไทม์ไลน์ ก็สามารถติดตามชมทั้งสามเรื่องต่อกันได้ค่ะ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 7 / 103. The White Princess (1 SS | 2017)▶ เรื่องย่อ: หลังจากพ่ายแพ้ในสงครามดอกกุหลาบของฝ่ายยอร์ก ทำให้ เอลิซาเบธแห่งยอร์ก (Jodie Comer) ต้องแต่งงานกับ เฮนรี ทิวดอร์ หรือ กษัตริย์เฮนรีที่ 7 (Jacob Collins-Levy) ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงคราม เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ของสองราชวงศ์และสิทธิ์ในการครองบัลลังก์อย่างมั่นคง พวกเขาต้องเผชิญกับอคติภายในใจก่อนจะก่อเกิดเป็นความรัก ทว่ายังมีเรื่องราวเกมการเมืองทั้งภายในและภายนอก โดยมีผู้หญิงคนสำคัญที่ส่งผลต่อเรื่องราวในครั้งนี้นั่นคือแม่ของพวกเขา อลิซาเบธ วูดวิลล์ (Essie Davis) และ มาร์กาเรต โบฟอร์ต (Michelle Fairley) ผู้หญิงสองคนที่คอยชักใยอำนาจอยู่เบื้องหลัง▶ ความน่าสนใจ ดัดแปลงจากนวนิยายของ Philippa Gregory ในชื่อเดียวกันและเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือชุด The Cousins' War เรื่องนี้ผลิตโดยช่อง Starz ของฝั่งอเมริกา เล่าเรื่องต่อจาก The White Queen โดยเป็นเรื่องราวรุ่นลูกหลังจบสงครามดอกกุหลาบ เพื่อเป็นการรวมกุหลาบสีขาว (ยอร์ก) และแดง (แลงแคสเตอร์) ให้เป็นกุหลาบแห่งราชวงศ์ทิวเดอร์ นางเอก เอลิซาเบธแห่งยอร์ก (ลูกสาวของราชินีเอลิซาเบธ วูดวิลล์ในเรื่อง The White Queen) ต้องแต่งงานกับตระกูลฝ่ายตรงข้ามคือพระเอก เฮนรี ทิวดอร์ ซึ่งเป็นการแต่งงานด้วยความไม่เต็มใจของพวกเขาทั้งคู่ความสัมพันธ์ของพระนางค่อนข้างอึดอัดในตอนแรก กระทั่งนางเอกให้กำเนิดลูกๆ จึงทำให้เธอต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างฝ่ายสามีกับลูกหรือจะช่วยฟื้นอำนาจฝ่ายยอร์กที่นำโดยน้องชายที่หายไปของเธอ นอกจากเราจะได้เห็นถึงการวางแผนของเหล่าแม่ๆ และเกมการเมืองแล้ว ยังจะได้เห็นการเติบโตของเจ้าหญิงเอลิซาเบธหรือนางเอกในฐานะพระราชินีที่ต้องเผชิญกับเส้นทางอำนาจ เล่ห์เหลี่ยม และการสูญเสียในชีวิต เรื่องนี้เป็นมินิซีรีส์ จำนวน 8 ตอนจบด้วยกันค่ะ ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 7.5 / 104. The Spanish Princess (2 SS | 2019-2020)▶ เรื่องย่อ: แคทเธอรีนแห่งอารากอน (Charlotte Hope) เจ้าหญิงจากสเปนผู้เลอโฉมและน่าดึงดูด ถูกส่งตัวมายังอังกฤษเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับ เจ้าชายอาเธอร์ (Angus Imrie) รัชทายาทของบัลลังก์ แต่ไม่นานเขากลับสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันทิ้งให้นางกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว ด้วยความทะเยอทะยานอย่างแรงกล้าในการทำตามหน้าที่เดียวในชีวิต ทำให้นางวางแผนแต่งงานกับน้องชายของสามีอย่าง เจ้าชายเฮนรี (Ruairí O'Connor) ว่าที่กษัตริย์คนใหม่และเขายังถูกตาต้องใจในตัวแคทเธอรีนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันด้วย ความสัมพันธ์ของพวกเขาจุดชนวนเกมการเมือง นำไปสู่เหตุการณ์หย่าร้างบนหน้าประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวขานของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 กับราชินีองค์แรกของเขา▶ ความน่าสนใจ ซีรีส์สร้างจากนวนิยายเรื่อง The Constant Princess โดย Philippa Gregory งานสร้างทั้งฉาก ภาพ และคอสตูมมีความโดดเด่นสวยงาม ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ผู้เขียนรู้สึกชอบที่สุดในเรื่อง เราจะได้เห็นเสื้อผ้าหน้าผมแบบจัดเต็มของทุกตัวละคร เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ เจ้าชายเฮนรี (ลูกชายของพระนางใน The White Princess) กับภรรยาคนแรกคือ เจ้าหญิงแคทเธอรีน นักแสดงดึงเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้ดี โดยเฉพาะเคมีของพระนางที่รับบทโดย Charlotte Hope และ Ruairi O'Connor ที่เข้ากันเป็นอย่างดี (พวกเขายังตกหลุมรักกันระหว่างการถ่ายทำซีรีส์จนออกเดตกันในชีวิตจริงด้วย)นางเอกเป็นเจ้าหญิงจากสเปนที่มาพร้อมกับความสวยและรวยมาก ขณะที่อังกฤษในตอนนั้นเผชิญกับความยากจน เธอจึงต้องแต่งงานตามสัญญาเพื่อเสริมความมั่นคงของราชวงศ์อังกฤษ คาแรคเตอร์ของแคทเธอรีนมีความมั่นใจในตัวเองสูง ยึดมั่นในความคิด ขณะที่เฮนรีนั้นเป็นเจ้าชายที่เจ้าสำราญหน่อยๆ ดูไม่ค่อยสนใจอะไร แต่ถึงคราวที่ต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เขาก็ทุ่มเทในการเป็นรัชทายาทและกษัตริย์แทนพี่ชายของเขาข้อมูลบางอย่างในซีรีส์ไม่ตรงตามประวัติศาสตร์ทั้งหมด เช่น ในชีวิตจริงแคทเธอรีนอายุมากกว่าเฮนรี 6 ปี, ความจริงแล้วเฮนรีมีอายุเพียง 10 ขวบตอนที่พี่ชายของเขาเสียชีวิตลง, Harriet Walter และ Eliot Cowen ที่รับบท มาร์กาเรต โบฟอร์ต และ พระเจ้าเฮนรีที่ 7 ในเรื่องมีอายุต่างกันถึง 26 ปี ขณะที่ชีวิตจริงนั้นมาร์กาเรตมีลูกเมื่ออายุ 13 ปีเรื่องนี้ทำให้เราได้เห็นถึงชีวิตและมุมมองของแคทเธอรีนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นของเธอที่มีภาพลักษณ์สวยสดใสต่างจากซีรีส์เรื่องอื่นที่มีการกล่าวถึงเธอในมุมของราชินีเคร่งศาสนาและไม่ร่าเริงสดใสเท่าใดนัก ซีรีส์จะพาผู้ชมไปสัมผัสกับความกดดันของนางเอกอันเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนและการใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งพระราชินี ซีรีส์ 2 ซีซั่นกับจำนวนตอนทั้งหมด 16 ตอนจึงถือว่าดูได้อย่างเพลินๆ ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 7 / 105. The Tudors (4 SS | 2007-2010)▶ เรื่องย่อ: เรื่องราวเกี่ยวกับบัลลังก์และการแต่งงานของ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 (Jonathan Rhys Meyers) กษัตริย์แห่งราชวงศ์ทิวดอร์ แม้อำนาจของเขาจะยิ่งใหญ่แต่ด้านชีวิตรักกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำมากที่สุด เนื่องจากการสมรสถึงหกครั้งและยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง เริ่มจากราชินีคนแรกที่เขาตกหลุมรัก แคทเธอรีนแห่งอารากอน (Maria Doyle Kenned) ทว่าเมื่อเขาได้พบกับสาวสวยผู้เปี่ยมด้วยเสน่ห์ตราตรึงใจอย่าง แอนน์ โบลีน (Natalie Dormer) เขาก็รู้สึกตกหลุมรักนางในทันที และพยายามที่จะหย่าร้างกับแคทเธอรีน ทว่าไม่นานเหตุการณ์กลับวนเวียนเมื่อเขาได้พบกับหญิงสาวที่รู้สึกดึงดูดมากกว่าจึงทำให้เฮนรีหาทางแต่งตั้งราชินีคนใหม่▶ ความน่าสนใจ ซีรีส์ครบรสทั้งโรแมนติก, ดราม่า, การเมือง, สงคราม โดยจะพาเราไปสัมผัสชีวิตอันหรูหราของราชวงศ์อังกฤษพร้อมกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเฮนรีที่ 8 รวมถึงเหล่าชนชั้นสูงและข้าราชบริพารข้างกาย แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าฉากเลิฟซีน 18+ ในเรื่องค่อนข้างเยอะพอสมควรเลยค่ะ ส่วนโปรดักชัน คอสตูมต่างๆ และเคมีระหว่างนักแสดงนั้นเรียกว่าเข้ากันดีมากๆ โดยเฉพาะคู่ที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษอย่าง เฮนรีที่ 8 กับ แอนน์ โบลีน ซึ่งรับบทโดย Jonathan Rhys Meyers และ Natalie Dormer ที่มีความร้อนแรงและ toxic ในความสัมพันธ์ แม้เธอจะเข้ามาในระหว่างที่เฮนรีมีแคทเธอรีนอยู่แล้ว แต่ต้องบอกว่าเคมีของพวกเขานั้นเข้ากันแบบดีงามเมื่อเทียบกับราชินีคนอื่นๆ ของเฮนรี เอาเป็นว่าตามไปรับชมกันเองจะดีกว่านะคะว่าจะสนุกโดนใจผู้อ่านกันไหมซีรีส์สร้างโดย Michael Hirst ผู้เขียนบทภาพยนตร์ Elizabeth ทั้งสองภาค โดยได้มีการดัดแปลงเพิ่มความแซ่บทำให้เรื่องน่าติดตามมากขึ้น ส่วนตัวแล้วยกให้เป็นอีกเรื่องที่น่าจดจำสำหรับแนวประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษที่ดูสนุก เข้มข้นและร้อนแรงมากๆ ซีรีส์มีด้วยกัน 4 ซีซั่น รวมจำนวนทั้งหมด 38 ตอน ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 8.5 / 106. Wolf Hall (1 SS | 2015)▶ เรื่องย่อ: หลังจากการล่มสลายทางอำนาจของคาร์ดินัล วูลซีย์ โธมัส ครอมเวลล์ (Mark Rylance) พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการทรยศหักหลังและอุบายในราชสำนักของ กษัตริย์เฮนรีที่ 8 (Damian Lewis) ทว่าในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดและเป็นผู้มีอิทธิพลรองจากกษัตริย์ บทบาทของเขานั้นเต็มไปด้วยอันตรายเนื่องจากต้องหาทางทำให้การแต่งงานครั้งที่สองของเฮนรีถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อทำให้ แอนน์ โบลีน (Claire Foy) ขึ้นสู่ตำแหน่งพระราชินี ท่ามกลางการคัดค้านของราชสำนัก สมเด็จพระสันตะปาปา และยุโรปส่วนใหญ่▶ ความน่าสนใจ ดัดแปลงจากนวนิยายสองเรื่องของ Hilary Mantel คือ Wolf Hall และ Bring Up the Bodies ซึ่งเป็นชีวประวัติสมมติที่บันทึกการขึ้นสู่อำนาจอย่างรวดเร็วของโธมัส ครอมเวลล์ในราชสำนัก เรื่องนี้จึงเน้นบทบาทของ โธมัส ครอมเวลล์ เป็นหลัก ชายผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เจ้าเสน่ห์และเจ้าเล่ห์ ทั้งยังเป็นนักฉวยโอกาสที่มีความเฉลียวฉลาดในการอ่านคนและมีความทะเยอทะยานอย่างสูง เขาถือเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการทำให้แอนน์ โบลีนเป็นพระราชินีอย่างถูกต้อง โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงทางกฎหมายและการเมือง จึงมีความซับซ้อนซ่อนกลที่ดูสนุกและน่าติดตาม อีกทั้งนักแสดงแต่ละคนก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ใครที่ได้ดูเรื่อง The Tudors แล้วอาจจะดูเรื่องนี้เพื่อขยายความเพิ่มเติมในส่วนของเฮนรีที่ 8 กับแอนน์ โบลีน แต่ใน Wolf Hall จะไม่ได้เน้นเรื่องราวความรักอย่างใน The Tudors ทว่ามีความเข้มข้นของการชิงไหวชิงพริบเป็นสำคัญ ซีรีส์ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในแง่กระแสวิจารณ์และรางวัล โดยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Primetime Emmy Awards ครั้งที่ 67 และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 3 รางวัลจาก Golden Globe Awards ครั้งที่ 73 ซึ่งซีรีส์สามารถคว้ารางวัลประเภทมินิซีรีส์หรือภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดเยี่ยมไปครอง นอกจากนี้ซีรีส์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 4 รางวัลสำหรับ Critics' Choice Television Awards ครั้งที่ 5 อีกด้วย มินิซีรีส์เรื่องนี้มีจำนวน 6 ตอนจบด้วยกันค่ะ ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 8 / 107. Becoming Elizabeth (2022-)▶ เรื่องย่อ: หลังจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 8 ลูกทั้งสามคนของเขา ได้แก่ แมรี่ (Romola Garai) เอลิซาเบธ (Alicia von Rittberg) และ เอ็ดเวิร์ด (Oliver Zetterström) ถูกใช้เป็นหมากในเกมชิงบัลลังก์ นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและศาลของอังกฤษ หลังจากเข้าไปพัวพันในเกมการเมือง เอลิซาเบธ ทิวดอร์ซึ่งเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่นได้เผชิญเรื่องราวรอบด้านที่ทำให้นางแข็งแกร่งขึ้นและไม่ยอมตกอยู่ในหลุมพรางของใครอีก ▶ ความน่าสนใจ Becoming Elizabeth นำเสนอชีวิตของเอลิซาเบธ ทิวดอร์ในวัยสาว การดำเนินเรื่องรวดเร็วทำให้น่าติดตาม ตัวซีรีส์ไม่ได้เน้นฉากแอ็กชันหรือสงคราม แต่จะมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ในราชสำนักของเอลิซาเบธหลังจากการสิ้นพระชนม์ของผู้เป็นพ่อ เกิดความยุ่งเหยิงทางการเมืองและฝ่ายต่างๆ ที่แข่งขันกันเพื่ออำนาจ บทสนทนาในเรื่องจึงค่อนข้างสำคัญการคัดเลือกนักแสดงเหมาะสมกับบทบาท โดยเฉพาะนางเอก Alicia von Rittberg ที่รับบทเป็น เอลิซาเบธ เราอาจจะไม่คุ้นหน้าเธอกันสักเท่าไร แต่เธอนั้นผ่านการแสดงมาแล้วหลายเรื่องและสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของเอลิซาเบธออกมาได้ดี เป็นตัวละครที่มีความน่ารักและเต็มไปด้วยช่วงเวลาที่สับสน เมื่อต้องพยายามสร้างความแข็งแกร่งและเข้าใจเกมแห่งอำนาจที่พัวพันกับเธอ ขณะที่ตัวเด่นฝ่ายชาย Tom Cullen ในบท โทมัส ซีมัวร์ ก็แสดงความมีเสน่ห์และเจ้าเล่ห์ของตัวละครออกมาได้ดีเช่นกัน ด้านโปรดักชัน ฉาก ภาพ และคอสตูมมีความประณีตสวยงาม โดยซีรีส์ได้รับคะแนนจากนักวิจารณ์ไป 88% จาก 16 คน บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ซึ่งเป็นไปในเชิงบวกและมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 6.9/10 ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 7 / 108. Reign (4 SS | 2013-2017)▶ เรื่องย่อ: ในช่วงกลางศตวรรษที่ 16 เด็กหญิงที่ชื่อ แมรี่ สจ๊วต (Adelaide Kane) ถูกกำหนดให้เป็นราชินีคนใหม่ของสก็อตแลนด์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้นางจะหลบซ่อนตัวเพื่อความปลอดภัยทว่าศัตรูยังคงหมายเอาชีวิตของนาง จนทำให้แมรี่ตัดสินใจเดินทางไปยังฝรั่งเศสเพื่อเข้าพิธีอภิเษกเชื่อมความสัมพันธ์กับกษัตริย์คนต่อไปอย่าง เจ้าชายฟรานซิส (Toby Regbo) แมรี่เผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะคำทำนายที่ว่า 'การแต่งงานของนางจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของฟรานซิส' ทำให้แม่ของเขาหาทางขัดขวางการแต่งงานในครั้งนี้ เรื่องราวความวุ่นวายทั้งความรักและการชิงบัลลังก์จะเป็นอย่างไร▶ ความน่าสนใจ เล่าเรื่องของราชินีแมรี่ตั้งแต่ในวัยแรกรุ่นท่ามกลางการชิงรักหักสวาทและการต่อสู้เพื่อบัลลังก์ ไปจนถึงช่วงชีวิตที่ต้องจบลงด้วยความขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ของอังกฤษระหว่างเธอกับพระราชินีเอลิซาเบธที่ 1 ด้านองค์ประกอบทั้งโปรดักชัน ฉาก และคอสตูมนั้นอลังการสวยงาม เต็มไปด้วยเหล่านักแสดงคับคั่ง เคมีของนางเอกกับนักแสดงในเรื่องก็ถือว่าดีนอกจากจะเล่าถึงชีวิตของแมรี่แล้ว ยังมีเรื่องราวของบรรดาสาวใช้ทั้ง 4 ซึ่งถือเป็นเพื่อนสนิทของเธอที่เดินทางไปฝรั่งเศสพร้อมกันด้วย โดยในซีรีส์พวกเธอจะใช้ชื่อต่างกันไม่เหมือนในชีวิตจริงที่พวกเธอต่างมีชื่อว่าแมรี่เหมือนกันทั้งหมดส่วนตัวแล้วชื่นชอบในการแสดงและเสน่ห์ของ Adelaide Kane นางเอกผู้รับบท แมรี่ สจ๊วต ตอนที่เล่นเรื่องนี้เธอมีอายุ 22 ปีในขณะที่ในเรื่องแมรี่มีอายุเพียง 15 ปี ใครที่อยากดูนักแสดงสวยหล่อในเรื่องต้องไม่พลาดกันเลยค่ะ อย่างผู้เขียนเองก็ถูกสองหนุ่มพี่น้องอย่าง ฟรานซิส กับ เซบาสเตียน ตกไปแล้วเหมือนกัน ซีรีส์มีทั้งหมด 4 ซีซั่นกับจำนวน 78 ตอน แม้เรื่องราวจะไม่เหมือนในประวัติศาสตร์ทั้งหมดแต่ก็สามารถรับชมเพื่อความสนุกกันได้แบบเพลินๆ ใครที่อยากดูเรื่องในมุมของแมรี่ควีนแห่งสก็อตที่ต้องต่อสู้เพื่อบัลลังก์และบ้านเมือง ก็ห้ามพลาดกันเลยนะคะ▶ คะแนนจากผู้เขียน: 7.5 / 109. Victoria (3 SS | 2016-2019)▶ เรื่องย่อ: หลังการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักร ส่งให้ เจ้าหญิงวิกตอเรีย (Jenna Coleman) ขึ้นครองบัลลังก์ในวัย 18 ปีท่ามกลางกระแสทั้งดีร้ายในราชสำนัก ไม่นานเธอก็ได้พบกับ เจ้าชายอัลเบิร์ต (Tom Hughes) เจ้าชายจากเยอรมันซึ่งมีฐานะเป็นพระญาติ ทั้งคู่มีความรักลึกซึ้งต่อกันจนอภิเษกสมรสในเวลาต่อมา เรื่องราวความรักของทั้งคู่กลายเป็นตำนานรักอันมั่นคงและบริสุทธิ์▶ ความน่าสนใจ เดิมทีผู้สร้างได้วางเรื่องนี้ไว้เป็นมินิซีรีส์ แต่หลังจากที่มีผู้ชมจำนวนมาก ทางช่อง ITV จึงตัดสินใจทำให้ Victoria เป็นซีรีส์ปกติและยืนยันการสร้างซีซั่นที่ 2 ตามมา โดยช่วงเวลาในซีรีส์นี้เริ่มต้นในปี 1837 หลังการเสียชีวิตของพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 เล่าถึงสภาพการเมือง สังคม และการพัฒนาที่ทำให้เกิดเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของอังกฤษหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "ยุควิกตอเรียน"แม้ในซีรีส์วิกตอเรียจะมีอายุ 18 ปี ทว่าในชีวิตจริงของ Jenna Coleman นางเอกผู้รับบทนี้ ในตอนนั้นเธอมีอายุ 30 ปี ถือว่าการแสดงอันโดดเด่นของเธอทำให้ผู้ชมเชื่อได้ว่าเธอคือวิกตอเรียช่วงวัยรุ่นอย่างแท้จริง นอกจากนี้เธอยังได้รับอนุญาตให้อ่านไดอารี่ของ Queen Victoria เพื่อทำการค้นคว้าข้อมูล โดยบางส่วนของไดอารี่ถูกลบออกตามคำสั่งของพระราชินีไม่นานหลังจากที่สิ้นพระชนม์พระนางของเรื่อง Tom Hughes และ Jenna Coleman เริ่มออกเดตกันในชีวิตจริงก่อนถ่ายทำซีซั่นแรกของซีรีส์ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็จบลงในปี 2020 ส่วนความรักในเรื่องเรียกว่าหวานน้ำตาลหยด เพราะพระนางมีความคลั่งรักและเข้าใจกันมากๆ รับรองว่าถูกใจคอซีรีส์แนวโรแมนติกอย่างแน่นอนค่ะด้านงานโปรดักชัน ภาพ และฉากเต็มไปด้วยความสวยงามทางประวัติศาสตร์ รวมถึงเสื้อผ้าหน้าผมที่มีความประณีตงดงาม ซีรีส์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจากเวที TV Choice Awards และ National TV Awards อีกด้วย ซีรีส์มีทั้งหมด 3 ซีซั่นกับจำนวน 25 ตอนด้วยกัน▶ คะแนนจากผู้เขียน: 8.5 / 1010. The Crown (2016-) ▶ เรื่องย่อ: เรื่องราวชีวิตตั้งแต่การอภิเษกสมรสระหว่าง พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 (Claire Foy) กับ เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ (Matt Smith) สู่การขึ้นครองบัลลังก์แห่งอังกฤษของเอลิซาเบธในวัย 25 ปี พระองค์ต้องเผชิญกับปัญหารอบด้าน ทั้งภายในและภายนอก การเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์ในรัชสมัยของพระองค์มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 รวมถึงเรื่องราวของบรรดาเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่ดำเนินไปพร้อมกัน▶ ความน่าสนใจ ซีรีส์ตีแผ่ราชวงศ์ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในยุคสมัยของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ถ่ายทอดเรื่องราวหลากอารมณ์ของพระองค์และการเมืองการปกครองที่มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่างๆ เป็นซีรีส์ที่ได้รับกระแสด้านบวกทั้งจากนักวิจารณ์และบรรดาผู้ชม ด้วยความสมจริงของตัวบท การดำเนินเรื่อง คอสตูม และนักแสดง โดยเฉพาะการคัดเลือกนักแสดงที่มีความคล้ายคลึงกับบุคคลจริงตามประวัติศาสตร์ ซึ่งแคสต์ในแต่ละซีซั่นนั้นทำให้ซีรีส์กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมาก เช่น Emma Corrin ที่รับบทเป็น เจ้าหญิงไดอาน่า ในซีซั่นที่ 4 และในซีซั่นที่ 5 ที่ได้ Elizabeth Debicki มาสวมบทบาทเป็นไดอาน่าต่อจาก Emma Corrin มีการแปลงโฉมนักแสดงให้มีหน้าตาและกิริยาท่าทางที่คล้ายคลึงกับเจ้าหญิงไดอาน่าเมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ซีรีส์คว้ารางวัลจากหลายเวที เช่น Primetime Emmy Awards, Golden Globe Award, BAFTA Awards, Screen Actors Guild Awards, International Online Cinema Awards เป็นต้น ถือเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรับชมและถูกยกให้เป็นอันดับต้นๆ ของซีรีส์ราชวงศ์อังกฤษเลยก็ว่าได้▶ คะแนนจากผู้เขียน: 9 / 10▶ รับชมซับไทยและพากย์ไทยทาง Netflixใครที่กำลังอยากดูซีรีส์เกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษก็เก็บลิสต์นี้เอาไว้ได้เลยค่ะ เพราะแต่ละเรื่องล้วนเป็นซีรีส์ที่จะทำให้ผู้ชมได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และความบันเทิงที่น่าติดตาม แต่บางเรื่องที่ผู้เขียนนำมาฝากนี้จะไม่มีคำบรรยายภาษาไทยนะคะ อาจต้องรับชมคำบรรยายต้นฉบับภาษาอังกฤษ หากใครไม่มีปัญหาก็ลองไปติดตามชมกันได้ค่ะ หวังว่าซีรีส์ทั้ง 10 เรื่องที่กล่าวมาจะถูกใจแฟนซีรีส์แนวนี้กันไม่มากก็น้อยนะคะภาพปก ภาพปก1 | SpanishPrincess, ภาพปก2 | Showtime, ภาพปก3 | BBCTwo, ภาพปก4 | BecomingSTARZ, ภาพปก5, 6 | STARZภาพประกอบบทความ: ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 ภาพที่ 22 ภาพที่ 23 ภาพที่ 24 ภาพที่ 25 ภาพที่ 26 จาก BBCTwo ภาพที่ 5 ภาพที่ 6 ภาพที่ 7 ภาพที่ 8 ภาพที่ 9 ภาพที่ 10 ภาพที่ 12 ภาพที่ 13 ภาพที่ 15 ภาพที่ 16 ภาพที่ 17 ภาพที่ 18 จาก SpanishPrincess ภาพที่ 11 ภาพที่ 14 ภาพที่ 19 จาก STARZ ภาพที่ 20 ภาพที่ 21 จาก Showtime ภาพที่ 27 ภาพที่ 28 ภาพที่ 29 จาก BecomingSTARZ ภาพที่ 30 ภาพที่ 31 ภาพที่ 32 จาก CWReign ภาพที่ 33 ภาพที่ 34 ภาพที่ 35 ภาพที่ 36 จาก VictoriaSeries ภาพที่ 37 ภาพที่ 38 ภาพที่ 39 ภาพที่ 40 ภาพที่ 41 จาก TheCrownNetflix จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !