In My MemoriesMs. Hammurabi (2018)"ตาต่อตาฟันต่อฟัน" กล้าตั้งคำถามและต่อสู้กับระบบและอำนาจิ่หลังจากที่ได้พาดพิงถึงหนึ่งในนักแสดงที่ดูไปบ่นไปชมชอบคือโกอาราในงานเขียนเมื่อเร็วๆนี้ว่ามักจะได้รับบทที่ดูน่ารำคาญอยู่ร่ำไป และมีเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้ดูแล้วดูน่ารำคาญน้อยที่สุด (ไม่ใช่ไม่มี) คือซีรีส์เก่าเรื่องนี้ ที่เมื่อดูตอนนั้นมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูเป็นความเป็นสากลมาปนกับบริบททางสังคมบ้านเขาได้ลงตัว นั่นคือการเสนอตัวเป็นงานแนวคอร์ทรูมดราม่าเนื้อหาวนเวียนอยู่กับการขึ้นโรงขึ้นศาล แล้วการว่าความหรือการพิจารณาคดีต่างๆคือคดีที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างและรากฐานทางสังคมบ้านเขา ทำให้มองเห็นความกล้าตั้งคำถามหรือกล้าเล่นในประเด็นที่หมิ่นเหม่แต่แหลมคม ทั้งยังไม่ได้มาแบบผิวๆแต่เล่าลงลึกผ่านตัวละครเอกที่เป็นผู้พิพากษาที่แม้จะมีอำนาจแต่ก็มีข้อจำกัดที่คนทั่วไปอาจไม่ทราบ ทำให้เรื่องออกมาน่าติดตามตามแนวที่เล่าเรื่องเล็กก่อตัวเป็นเรื่องใหญ่แม้จะไม่ใช่งานที่เรียบร้อยสมบูรณ์แบบแต่ยังเข้มข้นเอาดีได้บนรถไฟไต้ดินในค่ำคืนหนึ่งอิมบารึน (คิมมยองซู หรือ เอล จากวง Infinite) ผู้พิพากษาสมทบอายุน้อยได้เจอกับหญิงสาวแปลกหน้าที่น่าสนใจและก็ไม่แปลกอะไรเมื่อเรื่องเผยว่าเธอคือรักแรกของเขาเอง แต่แล้วเธอก็มาปรากฎกายในที่ทำงานในฐานะผู้พิพากษาสมทบที่มีชื่อแปลกว่าพัคชาโอรึม (โกอารา) และพัคชาโอรึมก็คือน้องใหม่ในทีมผู้พิพากษาที่นำโดยหัวหน้าทีมที่ขวานผ่าซากผู้พิพากษาอาวุโสฮันเซซัง (ซองดงอิล) และด้วยบุคลิกและทัศนคติส่วนตัวของพัคชาโอรึมที่เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอแต่ใช้มนุษยธรรมนำหน้านิติธรรมทำให้เหมือนเป็นคนละขั้วกับอิมบารึนโดยมีผูพิพากษาฮันเซซังเป็นตัวกลาง แต่การท้าชนทุกกระบวนการทั้งในระบบอาวุโสหรือสิทธิสตรีที่ถูกกดโดยสังคมนิยมชายในทีทำงานของเหล่าผู้พิพากษา รวมไปถึงการตั้งคำถามกับระบบและการต้องต่อสู้กับอำนาจอิทธิพลจนทำให้พัคชาโอรึมได้ฉายาว่า Miss Hammurabiเมื่อย้อนกลับไปรำลึกถึงและมองจากจุดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่ผู้เขียนดูซีรีส์เกาหลีมามากพอดูหลังจากดูเรื่องนี้ สิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือไอเดียที่แหวกพอดูเพราะโดยทั่วไปจะเห็นการเล่าเรื่องของอัยการหรือทนายมาต่อสู้กันในชั้นศาลมากกว่าจะเป็นตัวผู้พิพากษาผู้มีอำนาจสูงสุดในห้องพิจารณาคดี และสารตั้งต้นที่มีคือการเล่าผ่านการตั้งคำถามของมนุษยธรรมหรือมโนธรรมของเหล่าผู้พิพากษาที่ในมือถือนิติธรรมที่ทั้งสองอย่างต้องปะทะกันตลอดทาง แล้วพัฒนาไปสู่การกระทบกับระบบทั้งระบบรุ่นพี่หรือระบบอาวุโสที่คร่ำครึคับแคบด้วยการส่งความสมัยใหม่หัวก้าวหน้าเข้าไปปั่นป่วนผ่านพัคชาโอรึมที่นอกจากกจะอายุน้อยแล้วยังเป็นสตรี เรื่องจึงเริ่มจากการต่อสู้แบบท้าชนแต่ในที่สุดก็ลงเอยด้วยมนุษย์ธรรมหรือมโนธรรมได้หลอมรวมกับนิติธรรมได้ แม้จะไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงอะไรเพราะบางอย่างหยั่งรากลึกเกินแต่ก็สะกิดให้ได้มองเห็นและความเร้าใจเร้าอารมณ์ก็มาจากเรื่องที่ว่าที่แน่วแน่ในสิ่งที่บทตั้งใจไว้ เพราะเรื่องของหัวใจกับข้อกฎหมายที่จารึกไว้ในหน้ากระดาษมีความขัดแย้งกันชวนให้คิดและรู้สึกอยู่แล้ว แล้วเมื่อคนดูคิดตามตามสิ่งที่บทตั้งโจทย์ไว้จึงไม่ต่างจากการพาคนดูไปเป็นหนึ่งในผู้พิพากษาที่ต้องตัดสินคดีทีตามหลักฐานที่มีไม่ใช่ความรู้สึกตนเอง หัวใจและสมองของคนดูจะต่อสู้กันอันนำมาซึ่งอารมณ์ร่วมในแต่ละคดีที่กระทบต่อคนมากมายหลากอาชีพและชนชั้น ทำให้คนดูจะรู้ได้ว่าเรื่องมีความเข้มข้นพลิกผันและบีบอารมณ์เป็นระยะในทุกคดีที่ท่านผู้พิพากษาต้องหลอมรวมทั้งสมองและหัวใจเพื่อตัดสินคดีเพราะผู้พิพากษายังเป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่หายไปเลยคือเรื่องของความรักที่มองแทบไม่เห็นแม้จะเริ่มต้นด้วยทางนั้น และสิ่งที่น่าเสียดายคือเมื่อเรื่องเล่าเรื่องของผู้พิพากษาที่มีข้อจำกัดบางอย่างทำให้เจาะออกมาไม่ได้ตามความจริงทำให้ช่วงกลางไม่มีเรื่องจะเล่าและลดพลังลงจนเห็นชัดHammurabi มีความหมายแทนคำว่า "ตาต่อตาฟันต่อฟัน" เมื่อระบบและวัฒนธรรมองค์กรหยั่งรากลึกจนมองไม่เห็นสนิมที่เนื้อในสิ่งที่ทำได้คือการตั้งคำถามและท้าชนกับมัน แม้ว่าความจริงอาจไม่สามารถขุดรากถอนโคน แต่อย่างน้อยถ้าเปลี่ยนคนได้แม้เพียงคนเดียวก็อาจมีแรงกระเพื่อมเรื่องนี้อาจบอกกับพวกเราแบบนั้น เมื่อมองดูให้ดีเรื่องนี้มอบมุมมองให้คนดูชัดผ่านเรื่องราวที่เล่นกับอารมณ์คนดูคือการมองปัญหาผ่านทัศนคติส่วนบุคคล เช่นอิมบารึนที่ไม่ใช่มองไม่เห็นความบูดเบี้ยวฉ้อฉลไม่ถูกต้องหรืออยุติธรรม เพียงแต่เขามองเข้าไปด้วยนิติธรรมด้วยหลักฐานที่มองเห็นตรงหน้าเมื่อไม่มีอะไรพิสูจน์ได้มากกว่านี้อิมบารึนก็ปล่อยมันไปแม้ในใจจะขัดแย้ง หรือเรียกได้ว่าใช้สมองนำหัวใจที่แน่นอนว่าคนอย่างอิมบารึนไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอะไรได้และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นน้ำที่กลมกลืนและไหลไปตามสายธารของวัฒนธรรมองค์กร แต่นั่นไม่ใช่พัคชาโอรึม เพราะความจริงแล้วกฎหมายถูกตราขึ้นมาโดยมนุษย์เพื่อประคองสังคมมนุษย์และเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรม และพัคชาโอรึมมองกฎหมายด้วยทัศนคติแบบนี้เธอจึงมองด้วยสายตาที่ต่างจากอิมบารึน แต่เมื่อพัคชาโอรึมใช้หัวใจนำหน้าสมองเธอจึงไม่ยอมปล่อยแม้แต่เรื่องเดียวที่ในใจมองว่าไม่ถูกต้อง จนทำให้หลายครั้งอารมณ์มีอิทธิพลต่อการพิจารณาคดีจนพาตัวเองเข้าจุดอับเพราะฟังเสียงของหัวใจจนสายตาลืมมองหลักฐาน แน่นอนเธอก็คือความสุดโต่งอีกด้านไม่ต่างจากอิมบารึนโลกจึงต้องมีทางสายกลางที่หลอมรวมทั้งสองความสุดโต่งเข้าด้วยกัน และก็คือผู้พิพากษาอาวุโสฮันเซซังที่ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านการใช้สายตามองเห็นหลักฐานทางนิติธรรมและให้หัวใจมองคดีด้วยมโนธรรมมานานและอยู่ท่ามกลางระบบ แต่การจะหลอมรวมทั้งสองทางได้นั้นต้องอาศัยความใจกว้างและภาวะผู้นำของผู้อาวุโสคือฮันเซซังเพื่อเปลี่ยนคนรุ่นหลังให้เป็นความหวังของระบบตุลาการเมื่อเรื่องนี้คือเรื่องของ Miss Hammurabi คนที่ต้องแบกเรื่องก็ต้องเป็นพัคชาโอรึมของโกอารา และถ้าว่ากันด้วยความเป็นธรรมโกอาราก็ทำได้ดีพอที่จะเป็นคนพาเรื่องไปแม้จะยังมีฟีลแบ๊วๆให้น่ารำคาญอยู่ตามสไตล์แต่ก็คือว่าน้อยกว่าเรื่องอื่นๆทำให้พอมองข้ามได้ ที่สำคัญการแสดงอารมณ์ดราม่าผ่านดวงตากลมโตที่เป็นจุดเด่นของเธอก็สอบผ่านแม้ว่าบางครั้งดวงตาคู่นั้นทำให้โฟกัสสายตาคนดูจนมองข้ามการแสดงสีหน้าไปก็ตาม ส่วนพระเอกเอลนั้นยอมรับว่าเรื่องนี้มาเพื่อโดนข่มตลอดเรื่องเพราะการแสดงยังไม่ลงตัวและดูแข็งขืนไปนิดกระทั่งบางครั้งก็เหมือนตั้งใจเกินไปหน่อย แต่ที่ได้ใจที่สุดต้องยกให้ลุงซองดงอิลที่อาจเหมือนสลัดบุคลิกแบบเดิมของลุงไม่ได้ แต่ที่น่าประหลาดใจคือลุงแสดงเรื่องไหนก็มักจะเป็นแบบนี้แต่ยังทำให้คนดูเชื่อได้ว่าลุงคือตัวละครนั้นๆได้ไม่เชื่อลองหลับตานึกดู เพราะการแสดงที่เป็นธรรมชาติของลุงที่เล่นเรื่องไหนขโมยซีนได้ทุกเรื่องและเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้นสารภาพว่าผู้เขียนดูเรื่องนี้พร้อมความคาดหวังว่าจะเป็นแนว John Grisham คาดหวังว่าจะได้ดูการต่อสู้ฟาดฟันกันในศาลและการค้นหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์คดีอย่างสุดมันส์เช่นเดียวกับ A Time To Kill (1996) หรือ The Rainmaker (1997) แต่สิ่งที่ได้คือการตั้งคำถาม การต่อสู้กับระบบ สิทธิสตรีและภาวะจิตใจข้างในที่รอการเปลี่ยนแปลงของเหล่าผู้พิพากษาที่มาพร้อมกับคดีที่กระทบทั้งเรื่องฐานรากและโครงสร้าง ทำให้แม้จะไม่ได้ดังใจหวังแต่ก็พบกับความคมคายที่เรื่องเสนอด้วยบทที่ไม่มีหลุดออกนอกทางแม้จะมีช่วงกลางที่เหมือนไม่มีอะไรให้เล่าเลยเนือยเอื่อย แต่โดยรวมแล้วยังเป็นงานชั้นดีที่ดูแล้วยังไงก็ต้องดูให้จบเพราะได้คิดตามว่า ความจริงตัวบทกฎหมายคือตัวอักษรที่เป็นของตาย แต่คนที่เอาไปใช้และตีความหมายของตัวอักษรนั้นยังเป็นมนุษย์เหมือนกับในเรื่องบอกไว้เสมอว่า ทุกการตัดสินในทุกคดีจะมีผลต่อชีวิตคนอย่างน้อยหนึ่งคนไปตลอดกาลทุกสิ่งที่เป็นทำให้แม้อาจไม่ใช่งานระดับสมบูรณ์แบบแต่ก็ประทับไว้ในความทรงจำดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 จาก Facebook JTBC Drama หมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป อ่านบทความซีรีส์ที่มีเนื้อหาคล้ายกันจาก "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม One Ordinary Day (2021) ความยุติธรรมที่บิดเบี้ยว หรือ ถูกบิดเบือนรีวิวจัดเต็ม JUVENILE JUSTICE : หญิงเหล็กศาลเยาวชน (2022) อาจดูจงใจ แต่เข้มข้น ขึงขัง เร้าใจ ปักกลางใจ กับสิบตอนที่ยังดูน้อยไปรีวิวจัดเต็ม The Devil Judge (2021) ฉลาดเล่นกับอารมณ์ ให้รางวัลกับความรู้สึก เมื่อจินตนาการเป็นบทเรียนให้โลกจริงความเห็นหลังชม Doctor Lawyer (2022) "ไอเดียแหวกในความเดิมและซ้ำ แต่ยังเข้มข้นเร้าใจได้ตามแนว" *STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"*ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี` คลิกเลย >> https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkqอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://bit.ly/3O1cmUQร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 3 สิงหาคม 2565