สวัสดีครับ วันนี้เตจะขอพูดถึงภาพยนตร์ไทยโรแมนติกเรื่องหนึ่งที่มีโอกาสได้ดูในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 ที่ผ่านมานะครับ เป็นภาพยนตร์โรแมนติกที่ผมชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว สะดุดตาครั้งแรกก็ตั้งแต่ชื่อนี่แหละครับ Classic Again หรือว่าชื่อไทยก็คือจดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ เห็นชื่อครั้งแรกก็คิดว่ามันดูน่าสนใจดีเหมือนกันนะครับ บอกตรง ๆ ว่า ตอนที่ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์ครั้งแรก สารภาพเลยว่าดูแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ทำไมมันดูมีสองช่วงเวลา สองยุคสองสมัย ปมของเรื่องนี่มันคืออะไรกันแน่ มีแต่ความฉงน งงงวยเต็มไปหมดเลยครับ รู้แค่อย่างเดียวครับว่าหนังรักแน่นอน แต่ตอนแรกผมนั้นไม่มีความคิดจะเข้าไปดูเลยแหละ ภาพยนตร์โรแมนติกไม่ใช่สายถนัดของผมสักเท่าไหร่แต่ยังมีอยู่ 2 สิ่งครับที่ยังค้างคาใจหลังจากดูตัวอย่างภาพยนตร์จบ อย่างแรกก็คือโทนเรื่องครับมันดูจริงจัง มีความโรแมนติกสูง ดูเนิบช้า สวยงาม แล้วก็ไม่เร่งรีบเหมือนเราดูนิยายรักเก่า ๆ อะไรอย่างนั้นครับ นี่คือสิ่งที่ผมชอบเลยแหละ อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือนักแสดงที่ชื่อ รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตรตัวละครที่เป็นนางเอกของเรื่อง ตอนนั้นยังไม่ได้รู้ด้วยซ้ำครับว่าเป็นใครมาจากไหน เป็นดารามานานแล้วหรือยัง ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเธอคนนี้เลยแม้แต่นิดเดียวครับ แต่ความรู้สึกตอนที่เห็นนะครับเหมือนโลกหยุดหมุนเลยทีเดียว เรียกว่าตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นก็คงไม่ผิดนะครับ แน่นอนครับว่าตัวผมนี่ก็ตั้งธงหลักนับวันรอฉายเลยครับ ระหว่างนี้ครับก็เลยมีโอกาสได้หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวหนัง Classic Again เรื่องนี้ครับเป็นภาพยนตร์ไทยที่ถูกดัดแปลงมาจากภาพยนตร์โรแมนติกขึ้นหิ้งของเกาหลีที่ชื่อว่า The Classic เข้าฉายในปี 2003 ตอนนั้นได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย รวมถึงคำวิจารณ์ก็ไม่แพ้กันครับ การันตีด้วยรางวัลมากมายทั้งในและนอกประเทศในที่นี้มีถ้ามีถามว่าหนังโรแมนติกที่ดีที่สุดของเกาหลีมีเรื่อง อะไรบ้าง The Classic ก็คือหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยครับ นี่แหละครับคือที่มาของ Classic again ที่ถูกจับมาสร้างเป็นเวอร์ชั่นไทยครับ แล้วก็ได้รับการดูแลจาก CJ Entertainment และผู้กำกับอย่าง ธัชพงศ์ ศุภศรีครับ ปรับปรุงหลาย ๆ สิ่งให้เรื่องเข้ากับสมัยเริ่มจากโครงเรื่องก่อนเลย จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ จะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นสองยุคสองสมัยครับ เริ่มขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2546 นักศึกษาสาวอย่าง โบต้า (รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร) เธอแอบชอบ นน (สุทธิรักษ์ ทรัพย์วิจิตร) นักศึกษาอีกคนในมหาวิทยาลัย เดียวกันแต่การจะเปิดเผยความรักครั้งนี้มันก็ไม่ง่ายครับเพราะดันไปใจตรงกันกับเพื่อนสาว คนสนิทที่สุดที่ดันบังเอิญมาชอบผู้ชายคนเดียวกันครับ โบต้าเลยเลือกที่จะเก็บความรักครั้งนี้ไว้ในใจและหลีกทางให้แต่เรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านี้ โบต้าได้รับการไหว้วานจากดาหลาแม่ของเธอที่ตอนนี้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศให้ช่วยหาอะไรบางอย่าง ทำให้โบต้าได้มีโอกาสเจอกับสิ่งที่ถูกเก็บไว้มานาน ของที่เป็นตัวแทนแห่งความทรงจำ กองจดหมายรักที่เต็มไปด้วยถ้อยคำและสำนวนอันหวานซึ้ง มันเป็นของคนคนหนึ่งที่เคยส่งให้กับแม่ของเธอ ชายผู้ที่เป็นรักแรกของเธอย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2510 ณ เมืองชนบทของประเทศไทย หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่มีสถานะแตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหวได้มีโอกาสเจอกัน ขจร (ฐิติภูมิ เตชะอภัยคุณ) เด็กชาวบ้านจน ๆ และดาหลา (รัญชน์รวี เอื้อกูลวราวัตร) เด็กสาวผู้มีฐานะเป็นถึงลูกของสส.ใหญ่ อย่างไรก็ตามครับแม้ฐานะจะต่างกันสักเท่าไร มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของหัวใจใช่ไหมครับ แต่ในเรื่องของความรักแล้วไม่มีทางเลยที่มันจะไร้อุปสรรค ดาหลานั้นถูกหมั้นหมายเอาไว้แล้วกับ ธานินทร์ ลูกชายของพ่อค้าใหญ่ประจำจังหวัด แต่ก็เป็นธานินทร์นี่เองที่ได้ยินเรื่องราวความสามารถทางด้านกวีของขจร เด็กหนุ่มจึงไหว้วานให้เขาช่วยเขียนจดหมายรักเพื่อส่งให้กับดาหลาเสียหน่อย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าขจรก็แอบหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน เรื่องราวต่อจากนี้ จะเป็นอย่างไร ความรักที่แตกต่างกันทั้งสองยุคสองช่วงเวลา ติดตามรับชมได้ในจดหมาย สายฝน ร่มวิเศษครับ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับสำหรับการรีวิว ผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่า จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ เป็นหนังโรแมนติกของไทยที่ผมชอบที่สุดในรอบหลายปีเลยแหละครับ มันอาจจะไม่ได้ดีที่สุด แต่เป็นเรื่องที่ผมชอบที่สุดแล้วกัน รู้สึกดีกับหนังรักไทยแบบนี้ครั้งสุดท้ายในย้อนไปปี 2013 เลยครับ ที่พี่มากพระโขนงเข้าฉายนั่นแหละครับ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Classic Again เรื่องนี้เห็นจะเป็นบรรยากาศครับ ดีมาก ๆ คุมทีมเรื่องไว้ได้ดีครับ คิดว่ามันไม่ง่ายเลยนะครับที่จะสร้างให้ตัวเรื่องอยู่ในสองยุคที่แตกต่างกัน เคยดูไหมครับหนังย้อนยุคที่ฉากต่าง ๆ ดีหมด แต่มาตกม้าตายตรงที่บทสนทนาของตัวละครและการแสดงออก แต่หนังเรื่องนี้ไม่มีพลาดครับ ไม่ว่าจะเป็นช่วงต้นปี 40 ก่อนยุคที่สมาร์ทโฟนจะเข้ามา ข้าวของต่าง ๆ ก็ถือว่าใกล้เคียงความเป็นจริงครับ อาจจะไม่ใกล้มากแต่ก็ถือว่าโอเคครับ รับได้ ไม่ได้ใช้คำสแลงมากเหมือนกับทุกวันนี้ หรือจะย้อนไปยังปี 2510 ครับ ในแถบชนบทสิ่งต่าง ๆ จะดูบ้านเรียบง่าย จังหวะเนิบช้าทุกอย่างดีครับ ทั้งคำพูดคำจา แม้แต่การแสดงของตัวละครครับ การวิ่ง การเคลื่อนไหว ยังแตกต่างกันแบบเห็นได้ชัด บ่งบอกให้เห็นถึงความใส่ใจเป็นอย่างดีของผู้กำกับและทีมงานครับ แต่ยังต้องการให้ผู้ชมได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างยุคอย่างชัดเจนอีกด้วย เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ครับ คิดว่าสำคัญมาก ๆ สำหรับผมนะครับที่เป็นคนชอบจับผิดหนัง ถ้าเห็นอะไรที่ดูแปลกที่แปลกทางหรือผิดสังเกตไม่เข้ากับบรรยากาศ ก็อาจจะทำให้ไม่อินได้ง่าย ๆ เลยครับ ซึ่งตรงจุดนี้สำหรับเรื่องนี้นะครับถือว่าผ่านครับ งานภาพก็ถือเป็นอีกสิ่งที่ต้องชื่นชมครับ เอาง่าย ๆ นี่มันมุมกล้องหนังรักเกาหลีชัด ๆ จังหวะการถ่าย การเคลื่อนไหว ประกอบเข้ากับฉากเบื้องหลังต่าง ๆ ภายในเรื่องแล้วนะครับ ทำให้ส่งผลทางด้านอารมณ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เช่นฉากสวย ๆ ครับที่ต้องการโชว์ความประทับใจของคู่พระนางก็ทำให้คนดูละสายตาไม่ได้ครับ หรือแม้กระทั่งฉากหวาน ๆ ที่ผมดูหนังเกาหลีเยอะไม่ได้ก็เพราะแบบนี้แหละครับ ไม่ไหว ดูแล้วเหนื่อยครับ นั่งเขินอยู่หน้าจอจิกหมอนไป ดูไป จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษนะครับก็ให้อารมณ์แบบนั้นเลยครับ ฉากน่ารัก ๆ ระหว่างคู่พระนาง มันเข้ากันอย่างน่าประหลาดครับ ประสานกับภาพและเสียงประกอบทำให้ผมนั่งดูไปก็ยิ้มไปครับ เรียกว่าเขินกันทั้งโรงก็ว่าได้ครับ สำหรับใครที่ชอบดูหนังเลิฟซีนนะครับ เรื่องนี้น่าจะทำให้คุณชอบได้ไม่ยาก แถมหนังก็มีความฮาอยู่พอสมควร ฉากตลกต่าง ๆ ที่ถูกแทรกเข้ามาถือว่าใช้ได้เลยครับ ไม่เหมือนถูกยัดเข้ามาส่ง ๆ เติมสีสันครับตัดความหวานเลี่ยนได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับคอดราม่าก็อย่าเพิ่งเสียใจนะครับ ฉากเศร้านี่ก็ทำให้เศร้าได้โดยเฉพาะปมรักของเรื่องที่ค่อนข้างจะหนัก แม้จะเรียบง่ายก็ตามทีครับ แต่ก็เพิ่มความน่าสนใจครับด้วยการตัดสลับไปมา ระหว่างสองยุคสองสมัยค่อย ๆ เล่าครับ ค่อย ๆ เฉลยไปทีละนิด เพิ่มความน่าติดตามให้เราดู ให้เราลุ้นไปจนกระทั่งถึงตอนจบของหนังได้ และก็มาถึงจุดสังเกตกันบ้างครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมอวยอย่างเดียว จุดที่ดูเหมือนจะเป็นแผลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับหนังเรื่องนี้เลยก็คือเวลานั่นเองครับ แม้ว่าตัวหนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมงนิด ๆ แล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนจะไม่เพียงพอครับ จริงอยู่ว่าปมเรื่องหรือว่าประเด็นต่าง ๆ ก็ได้ถูกเล่าอย่างครบถ้วน ทว่าครับบางฉากดูจะเร่งรัดรวดเร็วเกินไป บางครั้งกำลังซึ้ง ๆ อยู่ก็ต้องเล่าเหตุการณ์ต่อไปแล้วครับ มีการตัดสลับอย่างรวดเร็วทำให้อารมณ์ไม่ถึงขั้นสุดครับ ทุกอย่างดูจะง่ายดายไปนิดหน่อยกับเรื่องที่มี 2 เวลาแบบนี้ด้วย เวลาระหว่าง 2 ยุคนะครับดูจะไม่เท่ากัน แล้วก็มีอีกหลายประเด็นเลยครับ ถ้าเกิดว่ามีเวลาให้ขยี้เพิ่มอีกนิดคงน่าจะอินได้มากกว่านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับ แค่นี้ตัวหนังก็ยาวมากแล้วถ้าเพิ่มไปอีกกลัวว่าจะไม่ได้ฉายเอานะครับ แต่จริง ๆ มันก็น่าเสียดายนะครับ หนังไทยเรื่องแรกเลยครับสำหรับผมที่ไม่อยากจะให้จบเร็ว อยากดูต่ออีกสักครึ่งชั่วโมงอะไรแบบนั้นเลยครับ ถ้าหากว่ามันยาวสัก 3 ชั่วโมงก็น่าจะดีจริง ๆ ครับ แต่คงจะทำได้แค่ฝันนั่นแหละครับ อีกส่วนก็คือบางฉากดูจะโดด ๆ ไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์ก่อนหน้าสักเท่าไหร่ ซึ่งผมได้กลับมาหาข้อมูลนะครับก็พบว่ามีหลายจุดเลยครับที่เหมือนกันมาก ๆ ระหว่าง The Classic กับ Classic Again คิดว่าทางผู้กำกับคงต้องการที่จะเคารพต้นฉบับของเกาหลี ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรที่มันดีอยู่แล้วนั่นเองครับ สรุปเลยแล้วกันนะครับ จดหมาย สายฝน ร่มวิเศษ นี่ไม่ใช่หนังไทยที่ดีที่สุดในรอบหลายปี แต่ผมกล้าพูดครับว่ามันเป็นหนังที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างตั้งอกตั้งใจแล้วก็สวยงามรวมถึงหวานซึ้งไม่ต่างกับจดหมายรักที่ขจรส่งมอบให้กับดาหลาเลยครับ อีกทั้งยังมีแง่คิดสำหรับความรักที่มั่งคงของคนสองคน ไม่เปลี่ยนแปลง ดังเช่นจดหมายที่ขจรได้เขียนถึงดาหลา แม้ถึงคราวจะต้องจากลาหรือเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไรความทรงจำที่ดีที่เคยมีให้กันก็ยังคงอยู่ตลอด นี่ก็เป็นมุมมองหนึ่งที่สอดแทรกอยู่ในตัวภาพยนตร์ไว้อย่างดี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึก ชอบมาก ๆ อาจจะเพราะอารมณ์เก่า ๆ ครับที่มันเนิบช้า ความเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง สมกับคำว่าคลาสสิคอย่างแท้จริงครับขอขอบคุณภาพ Official Trailer Classic Again