หนังเล่าถึง บิลลี่ ไทนี(George Clooney) เจ้าของเรือแอนเดรียเกล ประสบปัญหาไม่สามารถจับปลาหรือทำการประมงได้เลย เขาจึงตัดสินใจเอาเรือออกไปยัง Felmish Cap โดยไม่กลัวหรือสนใจคำเตือนเรื่องพายุที่ก่อตัวอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่ง ด้วยความมุ่งมันที่จะไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่า ทำให้ชีวิตพวกเขาขึ้นอยู่กับโชคชะตาว่าจะได้ปลากลับมาทำอาชีพต่อ หรือ เป็นเหยื่อของพายุพล็อตเรื่องหลักของหนังเรื่องนี้ คือการสะท้อนให้เห็นถึงอาชีพของชาวประมงและรายได้หลักคือการจับปลามาขายแล้วกาศจะทำรายได้ให้มากที่สุดคือต้องเดินเรื่องออกไปที่ที่ไกลในแหล่งที่มีฝูงปลาจำนวนมาก ในเรื่องนี้เหมือนเป็นการกู้ศักดิ์ศรีของกัปตันเรือมากกว่าเพราะนอกจากว่าเค้าจะประสบปัญหาเรื่องรายได้ที่น้อยลง เค้ายังถูกดูหมิ่นดูแคลน ถ้าไม่ได้เจ๋งและเก่าเหมือนแต่ก่อนแต่ความอวดดีของเขาก็ไม่ได้พาเค้าไปเจอเรื่องเลวร้ายเพียงลำพัง ยังลากลูกเรือผู้เคราะห์ร้ายให้ไปด้วยแต่เมื่อเริ่มเกิดพายุบิลลี่ตัดสินใจวกกลับตีสี่เพื่อรอให้พายุเบาลงเสียก่อนแต่ลูกเรือกลับยุยงส่งเสริมให้เดินเรือต่อเพื่อโอกาสที่รออยู่ข้างหน้าช่วงแรกหนังดำเนินเรื่องช้ามาก หนังมีแต่ความน่าเบื่อไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ในช่วงแรกหนังเต็มไปด้วยบทสนทนาระหว่างตัวแสดงด้วยกันถึงแม้ว่าจะน่าเบื่อแต่ก็เป็นการปูให้เห็นถึงความต้องการและจุดประสงค์ของตัวละครทุกตัวเพราะด้วยสภาพความเป็นอยู่และอาชีพทำให้จำเป็นต้องลุยฝ่าพายุไปเพื่อหาปลา และหนังยังเผยให้เห็นถึงความเป็นอยู่ของตัวละครทั้งแบบอยู่ดีมีอันจะกิน และอีกประเภทหนึ่งที่แทบจะไม่มีกินในส่วนของนางที่น่าประทับใจมากที่สุดคือช่วงที่พวกเขาประสบความสำเร็จนั้นก็คือการที่พวกเขาจับปลาได้พอดีคือเป้าหมายสูงสุดที่พวกเขาเดินทางดันโดนกัดมาไกลขนาดนี้การแสดงออกด้วยความดีใจของตัวละครอาจจะทำให้คนดูรู้สึกอินไปด้วย(ถ้าไม่รู้สึกเบื่อและไม่อยากทำความเข้าใจกับตัวละครในช่วงแรกแต่ก่อน) เรื่องของ CG หนังทุ่มเทไปในช่วงท้ายคือการสร้างพายุที่ดูน่ากลัวและมีความรุนแรงมาก โดยความสวยงามของภาพนั้นก็แฝงไว้ด้วยความน่ากลัว โดยเฉพาะรายละเอียดเล็ก ๆ เช่นน้ำทะเลกับคลื่น ที่ต้องใช้ความละเอียดในการสร้างภาพที่เคลื่อนไหวขึ้นมาเพื่อให้ดูสมจริงเหมือนกับเรือกำลังถูกคลื่นและพายุซัด ซึ่งรายละเอียดทำออกมาได้อย่างน่าชมและสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือเรื่องรายละเอียดของเรือที่ไปหาบางทำให้เราได้เห็นองค์ประกอบของเรือที่สำคัญ ว่าในเรือมีองค์ประกอบห้องไหนอะไรบ้างและในส่วนที่เอาไว้เก็บปลา และเรือก็ดูเป็นเรือประมงที่ไม่ใหม่ไม่เก่าทำให้รู้สึกถึงกลิ่นอายของเรือประมงที่เป็นเครื่องทำมาหากินของชาวบ้านตาดำ ๆคะแนนเนื้อเรื่อง 7/10 หากต้องการดูความรุนแรงของพายุและอานุภาพของมันในการทำลายล้างถ้าเน้นเฉพาะซีนประเภทนี้หนังอาจจะตอบโจทย์น้อยมากเพราะฉากนี้อยู่ในตอนท้ายของเรื่องซึ่งตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเริ่มหนาวมีแต่ความน่าเบื่อในเรื่องของการสนทนาหรือพูดคุยกับตัวละครด้วยกันข้อคิดที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้1. ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าชีวิต เหมือนที่พระเอกพาลูกเรือ 5 คน ออกไปหาปลาเพื่อที่ต้องการจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมา แม้จะได้รับคำเตือนเรื่องพายุและรู้อยู่แล้วว่าพายุกำลังจะเกิดในขณะที่พวกเขาไปหาปลา แต่เพราะเขาก็ไม่สนใจมุ่งมั่นที่จะทำเป้าหมายให้สำเร็จอย่างเดียว2. เมื่อเจอพายุและรู้ตัวว่าฝ่าไปไม่ได้ก็ยังพยายามฝืนและดันทุรัง แม้ว่ากัปตันจะตัดสินใจวกเรือกลับ แต่พวกลูกเรือกลับมองว่านี่เป็นการพิสูจน์จากโชคชะตาว่าเราจะสามารถฟันฝ่าพายุไปได้ไหม แต่กลับไม่ตระหนักเลยว่ามีอันตรายรออยู่ข้างหน้าในช่วงแรกหนังอาจจะดูน่าเบื่อ เรียกได้ว่าน่าเบื่อเกินกว่า 1 ชั่วโมง แต่ว่าในช่วงออกทะเลมาแล้ว หนังก็จะมีความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น อาจจะต้องทนง่วงในช่วงแรกหน่อยนะครับเครดิตภาพปก WarnerBrosเครดิตภาพที่ 1 WarnerBrosเครดิตภาพที่ 2 WarnerBrosเครดิตภาพที่ 3 WarnerBros