สำหรับคอหนัง Sci-fi จะทราบกันดีว่าหนังประเภทนี้มักจะเป็นเรื่องราวในโลกอนาคตสุดล้ำสมัย บ้างก็เกี่ยวกับเอเลี่ยน บ้างก็เกี่ยวกับสงครามที่ใช้อาวุธสุดไฮเทคมาต่อสู้กัน บ้างก็เกี่ยวกับการใช้ชีวิตระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนตร์ หรือแม้กระทั่งการจำลองให้เห็นระบบสังคมของมนุษย์ในอนาคตพวกเราที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่รู้กันหรือไม่ว่านอกจากหนัง Sci-fi จะแสดงให้เห็นถึงจินตนาการของผู้สร้างและมีฉากแอกชั่นสุดเท่แล้วหนัง Sci-fi บางเรื่องยังแฝงไปด้วยแนวคิดหรือปรัชญาสุดลึกซึ้งจนบางเรื่องถึงกับมีการนำปรัชญาในหนังไปสอนในมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาดูกันว่ามีหนังเรื่องใดบ้างที่เมื่อดูจบแล้ว นอกจากจะได้ความสนุกสนานแล้วยังทำให้เราต้องเก็บปรัชญาจากหนังไปขบคิดต่อให้ปวดหัวกันเล่นๆอีกด้วย ! 1.The Matrix เริ่มกันด้วยหนัง Actio-Scifiสุดดังที่มีชื่อเสียงยาวนานและจะเรียกได้ว่าเป็นหนังแจ้งเกิดของดารา Holly wood อย่าง Keanu reeve เลยก็ว่าได้ เรื่องราวว่าด้วยชายแฮคเกอร์คนนึงชื่อว่า โทมัส นีโอ แอนเดอสัน (คีนู รีฟส์) ที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนกับคนทั่วไป แต่อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ข้อความจากชายลึกลับที่อยู่ดีๆก็มาบอกว่าจักวาลที่เขาอยู่จริงแล้วคือโลกจำลองของสมองกล A.I. โดยจักวาลนี้ถูกเรียกว่า Matrix นั่นเอง และเขาคือ The one คนที่เทพยากรณ์บอกไว้ว่าเขาผู้เดียวที่เท่านั้นที่จะจะช่วยจบสงครามระหว่างมนุษย์และจักกลนี้ได้ ทำให้โทมัสต้องกลายเป็นนักรบโดยใช้ชื่อว่า Neo และเข้าร่วมสงครามเพื่อทำภารกิจช่วยเหลือมวลมนุษย์ชาติที่ยังเหลือรอดและถูก A.I. จับมาทำเป็นแหล่งพลังงานและหลอกให้ใช้ชีวิตในโลกจำลอง หนังเรื่องนี้ใช้ระบบโค้ดคอมพิวเตอร์มาเล่นกับการดำเนินเรื่อง ซึ่งในขณะที่หนังภาคแรกออกฉายนั้นเป็นช่วงที่เครื่องคอมพิวเตอร์กำลังเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสุดๆ ผู้คนต่างตื่นตาตื่นใจกับฉากแอกชั่นที่ใช้กราฟฟิกเป็นเหมือนโค้ดรหัสคอมพิวเตอร์สีเขียวๆมาผสมผสาน ซึ่งตัวหนังก็ทำออกมาได้สมจริงและเท่สุดๆ แต่นอกจากฉากแอกชั่นผสมกราฟฟิกสุดเท่และเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่แล้ว ตัวเนื้อเรื่องของหนังยังแฝงไปด้วยปรัชญาสุดลึกซึ้ง ทั้งเรื่องของกิเลสที่อยู่ในมนุษย์ที่มักจะเลือกหนีไปใช้ความสุขปลอมๆมากกว่าที่จะทนยอมรับกับความจริงในชีวิตที่แสนโหดร้าย หรือระบบสังคมของโลกนี้ที่จริงๆแล้วก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ไปจนถึงเชื่อมโยงกับสัญญะทางศาสนาอย่างการรู้ตื่นและหลุดพ้นจากความลุ่มหลงของจิตใจมนุษย์นั่นก็คือการปล่อยวางนั่นเอง หลังจากที่หนังเรื่อง The Martix ภาคแรกออกฉายในปี 1999 นั้นได้รับความนิยมและถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก จนทำให้สร้างภาคต่ออกมาอีกถึง 2 ภาค นั่นคือ The Matrix Reloaded และ The Matrix Revolutions 2.Prometheus สำหรับหนังเรื่องนี้ ผู้ชมอาจจะต้องเคยดูหนังเรื่อง Alien มาก่อนจึงจะได้รับอรรถรสครบถ้วน (Alienที่หัวยาวๆ เวลาเกิดจะแหวกทะลุอกของโฮสออกมาอย่างสยดสยอง) ซึ่งเรื่องราวในหนังจะเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดหนังเรื่อง Alien โดยหนังจะเล่าถึง ทีมนักวิทยาศาสตร์และผู้สำรวจบนยานโพรมีธีอุสที่กำลังเดินทางไปยังดาวดวงหนึ่งเพื่อหาคำตอบในข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่มีพวกเขาคิดว่าเป็นผู้สร้างมนุษย์โลกขึ้นมา เนื่องมาจากพวกเขาได้พบกับร่องรอยภาพวาดฝาผนังถ้ำของอารยธรรมโบราณต่างๆมากมายจากทั่วมุมโลก ทั้งหมดเจาะจงไปที่สถานที่แห่งเดียวกันในจักรวาลอันไกลโพ้น พวกเขาจึงโน้มน้าวให้บริษัท Weyland Industriesเข้ามาสนับสนุนการเดินทางไปในอวกาศตามเบาะแสที่ได้พบเพื่อตามความจริงอันแสนลึกลับนี้ ตัวหนังนั้นเล่นกับมุมของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้าและการสร้างโลกในเชิงคติของศาสนาโดยตรง โดยใช้ทฤษฎีที่ชื่อว่า "Ancient Astronauts"หรือก็คือแนวคิดว่าแท้จริงแล้วพระเจ้าอาจจะมาจากนอกโลก และภาพพระเจ้าในมายาคติของมนุษย์นั้นอาจจะใช่อย่างที่พวกเราเคยคิดกัน หากแต่ความคิดของพระเจ้าหรือผู้สร้างมนุษย์นั้นอาจจะซับซ้อนมากเกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างเราจะเข้าใจก็เป็นได้ อีกทั้งหนังยังแฝง ไปด้วยการสะท้อนจุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตของมนุษย์แต่ละคนที่ต่างกันไป และรวมไปถึงความดื้อรั้นและเหย่อหยิ่งในความกระหายไคร่รู้ของมนุษย์ 3.Star wars คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินชื่อแฟรนไชส์ของหนังเรื่องนี้ นอกจากความโด่งดังแบบถล่มทลายของหนังแล้ว ต้องบอกว่าแฟรนไชส์หนังStar warนั้นได้ปฏิวัติเทคนิคและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้หนังSci-fiในยุคต่อมาอย่างมาก เรื่องราวตำนานของหนังเริ่มจากชนวนของสงครามแรกสุด สมาพันธ์การค้าได้เกิดความขัดแย้งกับดาวนาบู ทำให้ สมุหนายกวาโลรัม ส่งนักรบเจไดสองคนคือ ไควกอน จิน และโอบีวัน เคโนบี ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของไควก้อน จิน มาเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้อย่างลับ แต่ความจริงกลับถูกเปิดเผยว่าความจริงว่าแท้จริงแล้วสหพันธ์พาณิชย์ มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ภารกิจนี้ก็ทำให้โอบีวันได้พบกาบเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า อนาคิน สกายวอคเกอร์ ซึ่งโอบีวันเชื่อว่าเด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นเจไดในคำทำนายที่ว่าจะเป็นผู้นำความสมดุลคืนสู่จักวาล โอบีวันจึงรับอนาคินมาเป็นลูกศิษย์และฝึกให้เขาหลายเป็นเจได แต่เรื่องราวกับขยายผลไปเป็นสงครามโคลนอันมีฝ่ายแบ่งแยกดินแดนเป็นผู้ชักใยสงคราม หมายโค่นล้มฝ่ายสาธารณรัฐ สำหรับแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ได้ถูกสร้างภาคต่อตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาคปัจจุบันถึงจำนวนถึง 8 ภาค และยังแตกออกเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นและเกมส์อีกมากมาย แต่หากเราไล่หนังดูตามไทม์ไลน์ปีที่หนังเข้าฉายเราจะได้ดูภาค 3-6 ก่อน เนื่องจากในขณะนั้นเทคโนโลยียังไม่พร้อมที่จะถ่ายทำให้ออกมาเป็นตามเนื้อเรื่องในภาค 1-3 ได้ Star war นอกจากจะเป็นหนังที่โด่งดังในด้านเอฟเฟคอวกาศแสนตระการตา หนังยังแฝงปรัชญาชีวิตไว้อย่างมากมาย เช่นงความกลัวของคนเรานั้นมักจำไปสู่อารมณ์ด้านลบอย่างมากมาย ทั้งความโกรธ ความเศร้าเสียใจ และสุดท้ายนั่นคือความทุกข์ทรมานนั่นเอง อีกทั้งลัทธิหลักในเรื่องทั้งสองลัทธิอย่าง เจไดและซิทอย่างสะท้อนให้เห็นถึง กลุ่มทัศนคติสองขั้วการเมืองระหว่างเจไดซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่ใช้พลังจิตที่บริสุทธิ์ ละซึ่งอัตตาตัวตน ใฝ่หาความสงบ เสรีภาพ สันติสุข และ รักษาระบอบประชาธิปไตย แต่ในส่วนของฝ่ายซิทนั้นป็นพวกที่ใช้พลังด้านมืด ใช้ ความโกรธ ความโลภความทะเยอทะยานเป็นพลัง พวกซิทมีแนวคิดเป็นเผด็จการต้องการครอบครองทุกสิ่งเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของตนเอง 4.Annihilation คอNetflix อาจจะเคยเห็นไตเติ้ลหนังเรื่องนี้ผ่านตามาบ้างแล้ว ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างขึ้นโดน Netflix หนังว่าด้วยเรื่องราวของ เลน่า (พอร์ตแมน) ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านชีววิทยาที่งมีสามีชื่อว่าเคนซึ่งเป็นทหารได้ออกไปทำภารกิจลับและหายตัวอย่างไร้ร่องรอยไปร่วม 1 ปี ทำให้เลน่าจมอยู่กับความเศร้าและไม่เปิดใจให้ใคร แต่อยู่มาวันหนึ่ง เคนก็กลับมาปรากฏตัวที่บ้านเธอ แต่เขากลับมีอาการที่แปลกไป และอยู่ดีๆก็ทรุดป่วยขั้นโคม่าอย่ากระทันหัน เลน่าพยามพาเคนไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่กลับมีทหารเข้ามาชิงตัวเขาไป เธอถูกควบคุมตัวไปพบกับ ดร.เวนเทรส (ลีห์) ซึ่งเป็นหัวหน้าสั่งการของเคน และนั่นเธอได้พบกับสิ่งลึกลับที่เรียกว่า “ม่านรุ้ง” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ปกคลุมรอบอุทยานแห่งชาติและกำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับอาการของเคน เลน่าจึงตัดสินใจเข้าร่วมภารกิจดร.เวนเทรสและนักวิทยาศาสตร์สาวอีก 4 คน เพื่อเข้าไปสำรวจในม่านรุ้งปริศนาและสืบหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในกันแน่ หนังตั้งใจจะแฝงการเปรียบเทียบระหว่างเนื้อร้ายหรือโรคมะเร็งซึ่งมะเร็งนั้นเป็นการทำลายตัวเองของเซลล์มนุษย์ ถึงแม้ทางวิทยาศาสตร์จะบอกว่าเซลล์มะเร็งนั้นเป็นการวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดของเซลล์ในร่างกาย แต่สาเหตุที่เซลล์ต้องวิวัฒนาการนั่นก็เพราะมนุษย์เรานั้นมีพฤติกรรมชอบทำลายตัวเองมาอย่างยาวนานจนเกิดการสืบทอดกลายเป็นพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์ที่มักจะวางยาพิษตัวเองอย่างช้าๆอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นในทางการกระทำ เช่นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือทางศีลธรรม เช่นการที่เราไม่สามารถหักห้ามใจในเรื่องที่ไม่ควรทำได้นั่นเอง 5.Interstellar Interstellar ผลงานมาสเตอร์พีซอีกชิ้นของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน แนวDrama-Scifi ที่ใครดูจบก็ต้องมีน้ำตาซึมอย่างแน่นอน หนังเล่าเรื่องราวในยุคช่วงปลายของ คูเปอร์ วิศวกร คุณพ่อลูกสอง ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอนาคตที่โลกใกล้ล่มสลาย ทรัพยากรต่างๆบนโลกใกล้หมดลง และเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติมากมาย มนุษย์ต่างใช้ชีวิต อยู่อย่างสิ้นหวัง แม้แต่จะทำการเกษตรยังยากลำบาก ทางรอดเดียวที่ทำได้คืออกเดินทางหาดาวดวงใหม่ที่ใกล้เคียงกับโลกผ่านสิ่งที่เรียกว่า รูหนอน เพื่อย้ายมนุษย์ไปตั้งรกรากใหม่อีกครั้ง สำหรับเรื่องนี้บอกเลยว่าดูจบแล้วหลายคนถึงกับปวดหัวกันเลยทีเดียว เพราะในหนังจะใช้ทฤษฎีและหลักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ต่างๆมากมาย อีกทั้งยังแฝงนัยนัยยะสะท้อนบุคลิกวิธีคิดตรรกะของตัวละครต่างๆ สลับไป-มา ระหว่าง ความรักและเหตุผล ความน่ากลัวเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวอย่างยาวนาน และความจริงที่ว่าจักรวาล บางทีอาจจะตรงข้ามกับภาพของสามัญสำนึกที่มนุษย์ทั้งหมดเลยก็ได้ หรือแม้แต่เวลาที่พวกเราทุกคนคิดว่ามีเท่ากัน แท้จริงแล้วมันอาจจะไม่เคยเท่ากันเลยก็ได้ เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับ 5 หนัง Sci-fi แฝงปรัชญาชวนให้คนดูคิดเองจนปวดสมอง ! ถ้ามีเรื่องที่เพื่อนๆคนไหนเคยดูแล้วลองมาแลกเปลี่ยนแนวคิดหรือปรัชญาที่ได้หลังจากที่ดูหนังจบแล้วกันนะครับขอขอบคุณ รูปประกอบที่1 รูปประกอบที่2 รูปประกอบที่3 รูปประกอบที่4 รูปประกอบที่5