Series ReviewGyeongseong Creature Part 2 สัตว์สยองกยองซอง ภาค 2 (2024)สานต่อลงตัวในมุมดราม่า ให้เวลากับความรักความเสียสละทำให้ในส่วนของสัตว์ประหลาดน้อยไปแต่ยังเอาดีได้เพราะ...เพิ่งเขียนไปเมื่อบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับซีรีส์เกาหลีที่แบ่งเป็นสองภาคซึ่งสำหรับเรื่องนี้ของ NETFLIX ยิ่งน่าประหลาดเพราะแทนที่จะแบ่งครึ่งจากจำนวนสิบตอนแต่ปล่อยออกมาภาคแรกที่เจ็ดตอนแล้วให้รอภาคสองแค่สามตอน กระนั้นการปิดภาคแรกลงโดยที่เรื่องราวถลำลึกไปเกินครึ่งก็เป็นส่วนสำคัญให้สามตอนสุดท้ายเป็นที่รอคอยของคนดูที่ได้สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับหนังสยองขวัญที่มีพื้นหลังเป็นงาน K-Drama ที่คุ้นเคย ทั้งยังได้เสน่ห์ของนักแสดงมาช่วยค้ำจุนให้มีอะไรที่น่าดูขึ้นอีกกับการเข้าคู่กันระหว่างพัคซอจุนกับนางเอกเบ้าหน้าฟ้าประทานฮันโซฮี ยัง...ยังไม่พอในส่วนของเลิฟไลน์ก็เริ่มก่อตัวเป็นรักระหว่างรบที่กำลังจะเบ่งบานแต่ดันตัดจบที่แม้จะลงตัวดีอยู่หรอกกับภารกิจที่ได้รับและปิดจ๊อบได้ แต่เมื่อมันเหลืออีกแค่สามตอนก็ไม่ทราบว่าจะกั๊กไว้ทำไมให้คนดูหงุดหงิดใจเล่นแบบนี้จนมาวันนี้ภารกิจติดตามสัตว์ทดลองแห่งโรงพยาบาลองซองได้มีบทสรุปเรียบร้อย ซึ่งด้วยความที่ภาคแรกประสบความสำเร็จบทสรุปสุดท้ายเลยเป็นอย่างที่เห็นแต่จะเป็นอย่างไรไปว่ากันหลังจากที่นายท่านจางแทซัง (พัคซอจุน) แห่งโรงรับจำนำคลังสมบัติทองในกยองซอง (ชื่อเก่าของกรุงโซล) ได้เสียสละเพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติออกมาจากคุกไต้ดินที่เป็นห้องทดลองลับของกองทัพญี่ปุ่นที่โรงพยาบาลองซอง หนึ่งในนั้นคือยุนแชอ๊ก (ฮันโซฮี) นักแกะรอยที่ได้ขโมยหัวใจของจางแทซังโดยไม่รู้ตัวและเธอก็ไม่รู้ตัวว่าถูกขโมยได้ออกมาโดยทิ้งจางแทซังติดอยู่ที่โรงพยาบาล ทว่าจะด้วยโชคหรือไม่ก็ตามแต่จางแทซังได้รับการช่วยเหลือจากท่านหญิงมาเอดะ (คลอเดีย คิมซูฮยอน) สตรีญี่ปุ่นผู้ทรงอิทธิพลแล้วก็ออกมาตั้งหลัก ทว่าอนุภรรยาของผู้บัญชาการตำรวจดันไปดื่มน้ำที่มีสัตว์ทดลองเข้ากลายเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือดออกอาละวาดในกยองซองและในขณะเดียวกันยุนแชอ๊กที่รู้ว่าสัตว์ทดลองที่พวกเธอหนีหัวซุกหัวซุนที่โรงพยาบาลนั้นเป็นใครเธอขึงบอกกับบิดา ในที่สุดบิดาของยุนแชอ๊กก็ตัดสินใจเดินเข้าหาความตายที่โรงพยาบาลองซองในแล้วยุนแชอ๊กก็ยังมาโนจับกลับเข้าไป จางแทซังจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องกลับเข้าไปที่โรงพยาลางอีกครั้งเพื่อช่วยยุนแชอ๊กจบเรื่องราวนี้เสียทีสรุปได้ลงตัวในส่วนดราม่าเพราะนี่คืองานดราม่าอิงประวัติศาสตร์ที่ใช้สัตว์ประหลาดมาเป็นตัวแปร อย่างที่บอกไว้ในบทความของภาคแรกคือถ้ามองในภาพใหญ่นี่คืองานซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ที่เคยเห็นทั่วไปในแบบ K-Drama เพราะได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วกับการเอาหน้าประวัติศาสตร์รอยแผลที่เจ็บปวดของชนชาติเกาหลีมาขึ้นจออย่างฮึกเหิมและเร้าใจในบริบทต่างๆ ซึ่งกับเรื่องนี้ในสามตอนนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นเพราะในส่วนนี้สร้างที่รักที่ชังเต็มที่ทำให้ความน่าติดตามอยากเห็นชะตากรรมของพวกมนุษย์ที่ร้ายยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดต้องพบจุดจบยังไง เพียงแต่เรื่องนี้ใช้เรื่องสัตว์ประหลาดมาเป็นตัวแปรทางหัวใจทำให้เพิ่มความเร้าใจในความเป็นงานสยองขวัญดีๆที่มีดีกว่าคือการใส่หัวใจลงไปในเรื่องสัตว์ประหลาด ทำให้สามตอนสุดท้ายเรื่องของหัวใจจะนำมาทั้งสองทางทางของการถูกกดขี่ที่เน้นย้ำเรื่องคนที่ไม่เท่ากันและการกระทำต่อมนุษย์เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งก็คือส่วนของดราม่าที่มีบทสรุปออกมาในทางที่ควรเพราะงานแนวนี้ก็จะออกมาแบบนี้คือมีบทสรุปที่ไม่ทางนี้ก็ทางเจ็บปวดแต่เรื่องนี้เลือกทางที่สมใจมีเลิฟไลน์ที่พอดีเพราะได้ถูกปูมาก่อนหน้าแล้วแต่เมื่อให้เวลามากไปนิดก็เลยเหมือนเรื่องหย่อนลงหน่อย ส่วนที่ขาดไม่ได้ก็คือเรื่องของพระเอกนางเอกที่ยอมรับว่าปูมาดีมีพัฒนาการไม่ใช่เอะอะสะดุดก้อนหินแล้วจุ๊บกันพลันเกิดความรัก นั่นคือการสัมผัสด้วยตาของสองตัวละครนำมาก่อนก่อนที่จะค่อยๆซึมซับเมื่อต้องผ่านอะไรกันมาจนเมื่อปิดภาคแรกคือคิดถึงคนึงหา จนมาภาคนี้ก็เลยมีเลิฟไลน์ที่มากขึ้นที่ออกมาแต่พอดีไม่มีล้นเป็นความเลี่ยนนั่นเพราะเรื่องความรักได้ผ่านการบ่มมาด้วยสถานการณ์ของมัน แต่เมื่อดูถึงบทสรุปจึงเข้าใจว่าทำไมจึงให้เวลากับเรื่องความรักจนบางช่วงดูเนิบช้าในส่วนของสามตอนท้ายนี้นั่นเพราะต้องการจะผลักไสหัวใจคนดูนั่นเอง ซึ่งถ้าเป็นงานดราม่าอิงประวัติศาสตร์ธรรมดาก็คงไม่มีปัญหากลับกันอาจจะเป็นส่วนเสริมที่ดีด้วยซ้ำ แต่เมื่อบริบทของเรื่องเป็นเรื่องสัตว์ประหลาดคือเอาความสยองขวัญมาทาบทาไว้ข้างหน้าสิ่งที่ไม่ควรทิ้งช่วงนานคือความตื่นเต้น แต่เมื่อไปเน้นเรื่องความรักมากไปนิดเรื่องสัตว์ประหลาดเลยเหมือนหายไปเป็นพักๆทำให้ดูหย่อนลงเหมือนอืดอาดไปบ้างเห็นชัดเจนว่าตั้งใจจะไปต่อทำให้ในส่วนของสัตว์ประหลาดและการทดลองดูจบไม่ลงตัวเท่าที่ควร เพราะเรื่องราวถูกเล่าเป็นสองส่วนโดยที่เหมือนจะไม่น่าจะเข้ากันแต่ดันเข้ากันได้เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์กับการทดลองกับมนุษย์แต่ได้ถูกเสริมแต่งให้ออกมาเป็นเรื่องของสัตว์ประหลาด จึงไม่ต้องแปลกใจที่เรื่องนี้โดยเฉพาะสามตอนสุดท้ายนี้ดราม่าจะนำหน้าสัตว์ประหลาดเพราะแท้จริงแล้วนี่คืองานดราม่า แต่เมื่อมีส่วนของเรื่องสัตว์ประหลาดที่ความสนุกดันมีหัวใจข้างในทำให้ความตื่นเต้นเร้าใจมีมิติทางใจมาสนับสนุนเรื่องอารมณ์เรื่องสัตว์ประหลาดก็นับว่าขายได้ประสบความสำเร็จ ทำให้ในส่วนนี้มองเห็นชัดเจนว่าตั้งใจจะไปต่อโดยการพยายามหาทางไปให้ได้อย่าฉากไต้น้ำที่ดูแล้วไม่น่าจะเข้ากันกับช่วงก่อนหน้าเพราะไปทันลงน้ำตอนไหน ทำให้เหมือนกับจงใจมาเพื่อจะไปต่อใส่วนของสัตว์ประหลาดซึ่งจะมีหัวใจได้อย่างภาคนี้หรือไม่แต่นั่นมันคืออนาคตอย่าเพิ่งไปคิด แต่เท่าที่เป็นคือบทสรุปที่เป็นก่อนหน้านั้นคือลงตัวดีแล้วและเมื่อจะไปต่อเลยกลายเป็นส่วนนี้ดูแปลกไปไม่ค่อยลงตัวเมื่อเน้นเรื่องความรักมากขึ้นสิ่งที่ตามมาคือเสน่ห์ที่ทะลุออกมาของสองนักแสดงนำที่ต่อให้ไม่ใช่แฟนก็สัมผัสได้ ชัดๆเลยที่เห็นในภาคนี้ที่สามตอนคือให้เวลากับพระนางอย่างเท่าเทียมเพื่อที่จะขยี้ในเรื่องความรักที่จะไปเอาคนดูให้ตายในตอนจบ จึงไม่ต่างจากครึ่งแรกเป็นเวลาของจางแทซังของพัคซอจุนและครึ่งหลังเป็นเวลาของยุนแชอ๊กของฮันโซฮี ซึ่งมันก็ดีที่เป็นการขายเสน่ห์และเคมีของนักแสดงเต็มที่ทำให้มีแรงดึงดูดเพราะเสน่ห์ทะลุออกมาจนกระทั่งว่าคนที่ไม่ใช่แฟนคลับของทั้งสองยังสัมผัสพลังงานบางอย่างได้ ซึ่งในส่วนของการแสดงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะหลายอยางได้ถูกปูมาจากภาคแรกแล้วทำให้ทุกอย่างยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหามันอยู่ที่เวลามีเพียงสามตอนแล้วการไปให้เวลากับตรงนี้มากไปทำให้ดูช้าลงซึ่งถ้าไม่ใส่ใจตรงนี้ก็เดินหน้าไปด้วยกันได้ เพราะในส่วนของการแสดงเชิงอารมณ์ทุกคนยังจัดการได้ไม่ใช่แค่พัคซอจุนกับฮันโซฮีแต่กลายเป็นภาคนี้คลอเดีย คิมซูฮยอนกลายเป็นเฉิดฉาย เพราะการร้ายแบบนางพญามันออกมาทั้งสง่าน่าเกรงขามและสวยสามตอนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของสองทางที่อาจดูอ่อนลงจากเจ็ดตอนแรกแต่ถ้าเอามาคิดรวมกันมันก็คือดี ถ้าว่ากันที่ภาคนี้ล้วนๆที่เป็นสามตอนสุดท้ายคงต้องยอมรับว่าอ่อนลงจากภาคแรก เพราะทันทีที่ปูมาได้ระดับที่ควรเป็นเรื่องก็เดินหน้าไปอย่างเมามันทั้งในทางดราม่าและจังหวะเวลาของสัตว์ประหลาด แล้วก็เดินไปอย่างมั่นคงไปจนปิดภาคแรกแล้วพอมาภาคสองความรู้สึกกลับกลายเป็นงานโรแมนติกปนสยองที่มาดราม่าเป็นฉากหลังซึ่งมันลดพลังลงแน่นอนเพราะกว่าจะไปถึงไคลแมกซ์ก็จะรู้สึกว่านาน กระนั้นเมื่อมาคิดวิเคราะห์แยกแยะโดยการลองคิดว่าถ้าไม่ปล่อยออกมาแยกจากกันจะดูเนียนขึ้นหรือไม่ซึ่งบอกเลยว่าอาจจะไม่แต่รอยแยกจะน้อยเพราะความรู้สึกอารมณ์ค้างและต้องรอคอยหลังจากอารมณ์พุ่งสุดขีดในทางนั้นจะไม่มี นั่นหมายความว่าถ้าเอามาคิดรวมกันนี่ก็คืองานที่เอาดีได้เพราะต่อให้ปรับอารมณ์ลงบ้างแต่ความต่อเนื่องในการดูจะช่วยลดความคิดและความคาดหวังของคนดูซึ่งจะทำให้เรื่องดูสมูธขึ้น แต่ไม่ว่ายังไงพอดูรวมๆแล้วก็เป็นงานที่ดูสนุกและต้องรอคอยซีซันต่อไปเหมือนเดิมดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 จาก Instagram netflixthภาพที่ 2,3,4,5,6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram netflixkr อ่านบทความของภาคแรกได้ที่นี่https://entertainment.trueid.net/detail/ygj3zpx1kEe6 ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/1WXMndBep7aYhttps://entertainment.trueid.net/detail/yqGjG6kxEK0lเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !