หากจะพูดถึงวง Bodyslam ก็คงจะเป็นวงร็อกแถวหน้าของไทยที่ได้รับความนิยมสูงอย่างมาก จากผลงานเพลงที่ออกมาตั้งแต่อดีต มักได้รับการตอบรับที่ดีเสมอมา ถึงแม้ว่าความสามารถของพวกเขาจะไม่เป็นที่กังขา ถูกยอมรับจากทุกคนแน่นอน แต่ว่าหากมองในเรื่องบทเพลง-ทำนอง ในอัลบั้มใหม่หรืออัลบั้มใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงพอสมควร ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้ มันก็นำไปสู่ข้อสงสัยของหลาย ๆ คนว่า มันทำให้เพลงของพวกเขา "ฟังยาก" จนไม่ได้รับความนิยมเหมือนสมัยก่อน ๆ ที่เปิดเพลงไหนก็ร้องได้ทั่วบ้านทั่วเมืองแน่นอนครับว่าใครที่เป็นแฟนคลับของวงนี้จะรู้สึกถึงพัฒนาการของวงมาตลอดจากอัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน จะพบว่าพวกเขามีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของดนตรีกับเนื้อหาเพลงไปมาก เริ่มตั้งแต่อัลบั้ม Bodyslam ซึ่งเป็นอัลบั้มแรกจะเป็นแนวเพลง Pop-Rock ฟังสบายกับเครื่องดนตรีน้อยชิ้น มีเนื้อหาพูดถึงความรักและเรื่องของการใช้ชีวิต-ความฝันแทรกเข้ามาประปรายแม้ว่าอัลบั้มแรกพวกเขาจะไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างนัก แต่มันก็มีเพลงติดหูที่ทุกวันนี้เชื่อว่ายังมีหลายคนร้องได้สบาย ๆ เช่นเพลง อากาศ, ย้ำ, สักวันฉันจะดีพอ ถึงจะเป็นเพลงเก่าแต่ด้วยทำนอง-คำร้องที่เข้าปาก มันก็ทำให้เราฮัมเพลงเหล่านี้ได้ตลอดเวลาต่อมาในอัลบั้ม Drive ที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องดนตรี-เพลงที่ติดหูมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มคนฟังได้มากกว่าเดิมแต่ก็ยังคงความเป็น Pop-Rock ที่มีความสนุกสนานชวนโยกไปด้วยกัน เพลง หวั่นไหว, ความซื่อสัตย์, ปลายทาง, ให้รักคุ้มครอง เพลงเหล่านี้ล้วนเป็นเพลงฮิตที่แฟนคลับทุกคนต้องร้องได้ จนอัลบั้มที่ 3 ในชื่อว่า Believe ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางดนตรีที่หนักแน่นขึ้นพร้อมกับสมาชิกวงที่เปลี่ยนออก-เพิ่มเข้ามาโดยอัลบั้มที่ 3 ภาคดนตรีจะหนักไปทาง Rock มากขึ้นชัดเจน มีเพลงที่แจ้งเกิดพวกเขาเต็มตัวอย่าง ขอบฟ้า, ชีวิตเป็นของเรา, ความรักทำให้คนตาบอด, พูดในใจ, ความเชื่อ เป็นต้น ซึ่งกระแสของอัลบั้มนี้ถือว่าดีมาก ทำให้ชื่อ Bodyslam แมสขึ้นอย่างชัดเจน บวกกับเนื้อเพลงที่มีทั้งความรักและชีวิตผสมกันไป (เริ่มมากขึ้น) แต่ก็ยังเป็นเนื้อหาเพลงที่พูดตรงตัวไม่ต้องตีความอะไรมากมาถึงอัลบั้มที่ 4 Save My Life โดยอัลบบั้มนี้ก็จะเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนที่ Bodyslam จะหันไปทางชีวิต สัจธรรม การตีความมากขึ้น เปิดตัวด้วยเพลง ยาพิษ ที่มากับทำนองเพลงสุดเร้าใจ เพลง อกหัก ที่มีแง่คิดเรื่องของความผิดหวังแต่ก็อย่าสิ้นหวังเกินไป เพลง คนมีตังค์ ก็พูดถึงความพอดีในชีวิต รวมถึงเพลงอื่น ๆ ที่เริ่มจะหันเหไปทางชีวิตมนุษย์มากขึ้นครับหากอัลบั้ม 4 ยังไม่ชัดเจนในแนวทางใหม่พอ ในอัลบั้มที่ 5 ที่ใช้ชื่อว่า คราม ก็จะชัดเจนขึ้นครับว่า Bodyslam ต้องการจะเปลี่ยนทิศทางใหม่ของตัวเองให้เป็นร็อกกึ่งเพื่อชีวิต อย่างเพลง คราม ก็จะต้องตีความกันหน่อยเกี่ยวกับส่วนลึกในจิตใจของคน นอกจากนี้ในอัลบั้มก็ยังมีความแปลกใหม่ของแนวเพลงอย่าง คิดฮอด ที่ได้คุณ ศิริพร อำไพพงศ์ มาร่วมขับร้องให้ความเป็นร็อกหมอลำ เพลง Sticker เองก็เป็นการทดลองอะไรใหม่ ๆ ของวงด้วยทำนองเพลงที่สดใสสนุกสนาน สะท้อนสังคมและมีเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดเสริมให้กับภาคดนตรีอีกด้วยในอัลบั้มที่ 6 และ 7 (ดัม-มะ-ชา-ติ, วิชาตัวเบา) แนวทางเพลงจะเน้นความหมายของชีวิต ฟังแล้วต้องตีความอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แฟนเพลงอาจไม่ชอบใจนักแต่ว่ามันก็มีข้อดีตรงที่ได้เห็นมุมมองอะไรใหม่ ๆ ของตัวศิลปินที่สื่อผ่านเสียงเพลง ได้เห็นความซับซ้อนในแง่ดนตรีมากขึ้น แม้ว่าเนื้อร้องจะไม่ติดหูครั้งแรก แต่บทเพลงของพวกเขาในระยะหลังฟังแล้วจะรู้สึกเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้นในชีวิตนี้ครับอย่างเพลง เรือเล็กควรออกจากฝั่ง ก็เป็นเพลงให้ท้าทายชีวิตตัวเองบ้าง อย่าอยู่แต่เซฟโซน เพลง เตรียมตัวตาย ก็จะหมายถึงการใช้ชีวิตอยู่ให้มีความหมาย พอตายไปจะไม่ต้องมานั่งคิดเสียดาย ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ขอแค่ทำดีเพื่อใครสักคนก็ควรค่าแก่การตาย หรือจะเป็นเพลง วิชาตัวเบา ก็ให้ความหมายเรื่องของการปล่อยวางพัฒนาการทั้งหมดนี้ทางผู้เขียนมองเห็นว่า Bodyslam มีมุมมองที่โตขึ้นครับ ไม่ว่าจากประสบการณ์ของตัวนักดนตรีหรืออายุที่เพิ่มขึ้น มันย่อมส่งผลให้ทัศนคติการมองโลกเปลี่ยนไป เพราะตัวเราเมื่อ 10 ปีก่อนอาจคิดไม่เหมือนกับตัวของเราใน 10 ปีให้หลัง พอมีอายุมากขึ้นเราอาจจะไม่ได้โลดโผนหรือเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่มันก็ทดแทนด้วยความสุขุม ความคิดความอ่านที่นิ่งขึ้น ดังนั้นตัวของนักดนตรีก็เช่นกันครับ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกเขาจะเลือกแนวเพลงปัจจุบันที่ลึกมากขึ้น (จนบางทีก็เข้าไม่ถึง)ความเปลี่ยนแปลงแบบนี้มันเกิดขึ้นได้แม้แต่ศิลปินระดับโลกอย่าง Linkin Park เองก็เป็นตัวอย่างที่ชัดมากเพราะพวกเขาแจ้งเกิดด้วยดนตรี Nu-Metal กับเสียงว๊ากสุดโหดของนักร้องนำ จนเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแนวทางของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกันจากดนตรีที่หนักแน่นโดนใจวัยรุ่น เปลี่ยนเป็นเครื่องดนตรีสังเคราะห์มากขึ้นอย่างอัลบั้ม Minute to Midnight เป็นจุดเปลี่ยนตามด้วยอัลบั้ม A Thousand Suns, Living Things หรืออัลบั้มสุดท้ายอย่าง One More Light ที่ได้รับการวิจารณ์เรื่องแนวเพลงที่ไม่เหมือนเดิม ก่อนที่เราจะสูญเสีย Chester Bennington ฟร้อนแมนของวงอย่างไม่มีวันหวนกลับดังนั้นแล้วมันจึงเป็นการเห็นมุมมองครับว่า ณ ตอนนั้นศิลปินกำลังคิดอะไรอยู่ มันยังสะท้อนให้เห็นถึงการมีพัฒนาการทางดนตรีด้วย การจะเห็นนักร้องวัยผู้ใหญ่ทำเพลงรักวัยรุ่นก็คงจะไม่เหมาะนัก มันคงปฏิเสธไม่ได้ว่างานเพลงของ Bodyslam ยุคใหม่จะฟังยากขึ้น แต่แบบนี้แหละครับที่จะทำให้เห็นว่า มาตรฐาน ความสามารถ ความสร้างสรรค์ ของศิลปินมันจะไปได้มากแค่ไหนมันจึงทำให้ ณ ตอนนี้ปริมาณกำไรยอดขายคงไม่ใช่เรื่องหลักของวงแล้วล่ะครับ แต่คงเป็นเรื่องของความท้าทายความสามารถของ "ตูน" "ยอด" "ปิ๊ด" "โอม" และ "ชัช" ว่าพวกเขาจะคิดสร้างสรรค์งานออกมาแบบไหนได้อีกครับที่มารูปภาพ: รูปภาพปก / รูปภาพ 1 / รูปภาพ 2 / รูปภาพ 3 / รูปภาพ 4 / รูปภาพ 5 / รูปภาพ 6