รีเซต

[รีวิวหนัง] "Boy Kills World" วิชวลโคตรเบียว แอ็กชันโคตรเดือด เลือดสาดทำถึง

[รีวิวหนัง] "Boy Kills World" วิชวลโคตรเบียว แอ็กชันโคตรเดือด เลือดสาดทำถึง
แบไต๋
2 มิถุนายน 2567 ( 14:30 )
446

แซม ไรมี (Sam Raimi) ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์มือฉมัง ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ผีอมตะ ‘Evil Dead’ ผู้กำกับไตรภาคหนังไอ้แมงมุมฉบับแรก ‘Spider-Man’ และโปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังหนังดัง ๆ ทั้ง ‘Don’t Breathe’ (2016) และแฟรนไชส์ ‘The Grudge’ กลับมาอีกแล้วครับ แต่คราวนี้เขาไม่ได้กลับมากำกับเอง แต่ขอมานั่งแท่นโปรดิวเซอร์หนังแอ็กชันทริลเลอร์ ‘Boy Kills World’ ผลงานเปิดประเดิมของผู้กำกับหน้าใหม่ชาวเยอรมนี มอริตซ์ โมห์ร (Moritz Mohr)

โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นจากการที่ไรมีได้ชมตัวอย่างหนังเวอร์ชันแรกที่โมห์รและดาวิด สซาร์ทาร์สกี (Dawid Szatarski) ผู้ประสานงานสตันต์แมนร่วมกันทำขึ้นมาเมื่อ 7 ปีที่แล้ว จนกระทั่งออกมาเป็นหนังเรื่องนี้ที่ได้เข้าฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต (Toronto International Film Festival – TIFF) เมื่อปี 2023 โน่น จนกระทั่งสตูดิโอ Lionsgate ซื้อมาฉายในปีนี้นี่แหละครับ

‘Boy Kills World’ เล่าเรื่องของบอย (บิล สการ์สการ์ด – Bill Skarsgård) เด็กหนุ่มหูหนวกเป็นใบ้ ที่มีอดีตปมแค้นหลังจากที่ครอบครัวของเขาถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมโดยคนในตระกูลแวนเดอคอย (Van Der Koy) ตระกูลวิปลาสที่ปกครองชาวเมืองอย่างโหดเหี้ยม ที่ประกอบไปด้วยผู้นำสูงสุด ฮิลดา แวนเดอคอย (ฟัมเกอ ยันส์เซิน – Famke Janssen), เมลานี แวนเดอคอย (มิเชล ด็อคเคอรี – Michelle Dockery) น้องสาว, กีเดียน แวนเดอคอย (เบรตต์ เจลแมน – Brett Gelman) น้องชาย และเกลน แวนเดอคอย (ชาร์ลโต คอปลีย์ – Sharlto Copley) สามีของเมลานี และจูน 27 (เจสสิกา รอธ – Jessica Rothe) นักรบสาวลึกลับที่ทำงานให้กับตระกูลนี้

บอยได้รับการฝีกฝนวิชาการต่อสู้หลากหลายแขนงจากหมอผี (ยายาน รูเฮียน – Yayan Ruhian) ผู้ลึกลับกลางป่า ที่ชุบเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ จนกระทั่งเมื่อตระกูลแวนเดอคอยได้จัดรายการถ่ายทอดสด ‘The Culling’ เพื่อนำเอาศัตรูผู้เห็นต่าง 12 คนมาสังหารหมู่ออกทีวี ด้วยแรงแค้นที่สั่งสม แรงผลักดันจากเสียงในหัว (เอช. จอน เบนจามิน – H. Jon Benjamin) และวิดีโอเกมที่เขาชื่นชอบในวัยเด็ก บอยและเหล่าสมาชิกกลุ่มต่อต้าน บาโช (แอนดรูว์ โคจิ – Andrew Koji) และเบนนี (ไอเซอาห์ มุสตาฟา – Isaiah Mustafa) จึงต้องบุกไปทวงแค้นจากโลกสุดโหดที่เคยพรากทั้งชีวิตของเขาไป

ความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้ ที่เรียกได้ว่าทำได้ถึงและแตกต่างจากหนังแก้แค้นอีกนับพันนับหมื่นเรื่อง ก็คงหนีไม่พ้นการนำเสนอวิชวลที่ทั้งคัลต์และกาวมากในเวลาเดียวกัน ถ้าดูแรก ๆ อาจชวนให้นึกถึงการสร้างบรรยากาศที่คล้าย ๆ กับโลกดิสโทเปีย ผู้นำเผด็จการ บรรยากาศการปกครองแบบฟาสซิสต์ และการแข่งเกมล่าตายของ ‘The Hunger Games’ นิดหน่อย เพียงแต่ว่าบรรยากาศมันอาจจะดูคอเมดีกว่า และตัวหนังก็ไม่ได้อธิบายที่มาที่ไปว่าทำไมตระกูลนี้ถึงได้ปกครองเมือง ซึ่งจุดนี้ก็แอบน่าเสียดายนิดหน่อย

วิชวลที่หนังเรื่องนี้ตั้งใจนำเสนอมาก ๆ ก็คือโลกของความเป็นวิดีโอเกม ทั้งจริตบางอย่างของบอยตอนต่อสู้ชนะในแต่ละเควสก็ชวนให้นึกถึงเกม อาจจะไม่ถึงขั้นกราฟิกจ๋า ๆ แบบ ‘Scott Pilgrim vs. the World’ (2010) อะไรขนาดนั้น แต่ก็เรียกได้ว่ายังมีกลิ่นอายของความเป็นเกม ตั้งแต่การวางเรื่องให้บอยจำเสียงจากในเกมอาเขตที่ตัวเองเล่นมาเป็นเสียงของตัวเองที่อยู่ในหัว เสมือนว่าตัวเองกำลังเล่นเป็น Player 1 ของเกม รวมทั้งการใช้ไดอะล็อก การดีไซน์องค์ประกอบ มุมกล้องที่ชวนให้รู้สึกเหมือนกำลังอ่านมังงะ หรือคอมิกล้างแค้นโหด ๆ ได้อยู่เหมือนกัน แต่เป็นมังงะเวอร์ชัน Evil Dead ที่มีกลิ่นและ Easter Egg คัลต์ ๆ แบบแซม ไรมี เข้ามาเจือปนนิดหน่อย อะไรแบบนี้มากกว่า

พอพูดถึงหนังแอ็กชัน ก็ต้องยกมาพูดเยอะหน่อย ด้วยความที่ไอ้หนุ่มบอยนั้นเก่งการต่อสู้ในแทบจะทุกรูปแบบ จะสู้มือเปล่าก็ได้ จะจับปืนยิงก็เท่ ภาพงานแอ็กชันที่มีอยู่แทบทั้งเรื่องเลยนำเสนอออกมาได้จัดจ้านเกินคาดมาก ๆ ตั้งแต่มุมกล้อง การตัดต่อจังหวะแปลก ๆ ที่ไม่ค่อยได้เห็นในหนังเรื่องอื่น ๆ (มีอันหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากคือ เอามุมกล้องของคนดูมาเป็นอาวุธแทนซะเลย บ้ามาก) และที่สำคัญคือ แม้วิชวลของหนังมันจะออกมาดูเกม ๆ ก็เถอะ แต่ฉากแอ็กชันพวกนี้เข้าขั้นโหดเต็มระบบเรต R ถึงขั้นแล่เนื้อเถือหนัง เลือดสาดหัวกระจุยอะไรแบบนั้นเลย ผู้เขียนเองที่พอรับได้ยังแอบสะดุ้งกับฉากโหด ๆ ไปหลายเฮือกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมาะให้เด็กรับชมอย่างยิ่ง

เรื่องราวในหนังก็จะมีความเป็น ‘The Hunger Games’ ที่มีเผด็จการคอยปกครองด้วยตรรกะแบบบ้า ๆ บอ ๆ และตัวของบอยที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จึงต้องเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่แฝงตัวเข้าไปเพื่อล้างแค้นเป็นหลัก องก์แรกของตัวหนังเลยเป็นการเดินเรื่องเร็ว ๆ ซึ่งอันนี้ก็แอบติดนิดหน่อยตรงที่ Pace ขององค์แรกกลับมีอาการงง ๆ เหมือนไม่เข้าที่เข้าทางอยู่ โดยเฉพาะมุกอ่านสคริปต์ของผู้นำที่ Cliche จัด ๆ แถมยังขยี้นานจนน่ารำคาญ จังหวะการทะเล่อทะล่าเข้าไปแก้แค้นของบอยแบบไม่มีจังหวะ ไม่เตรียมพร้อมกับผีอะไรเลย ก็แอบน่าหงุดหงิดเล็ก ๆ เป็นช่วงประมาณ 40 นาทีแรกของหนังที่จังหวะประดักประเดิดพอดู

กว่าตัวหนังจะติดเครื่องแอ็กชันมัน ๆ วิชวลล้ำได้ ก็ต้องรอประมาณองก์ที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งตัวหนังก็จะเดินเป็นเส้นตรง อารมณ์ประมาณ จอห์น วิค ที่บุกเดี่ยวเข้าไปในรังโจรที่เต็มไปด้วยความบ้า ๆ เบียว ๆ แล้วก็ต้องต่อสู้กับศัตรูเป็นส่วนใหญ่ ไปจนถึงช่วงองก์สุดท้ายที่เป็นการคลายปมเรื่องราว และเผยตัว Last Boss ที่ก็เรียกว่าซัดกันตัวต่อตัว แถมทั้งคู่ยังโคตรอึด ถึก ตายยากชิบเป๋ง สมกับเป็นบอสลับตัวสุดท้ายจริง ๆ โดยรวมถึงบทจะไม่ได้ถึงกับรัดกุมมาก และมีปมบางอย่างให้เดาบทสรุปได้นิดหน่อย แต่พอเฉลยปมออกมาครบ ก็เล่นเอาเหวอกับความบ้าของพล็อตอยู่เหมือนกัน

ส่วนในแง่การแสดง แน่นอนว่าต้องชื่นชม บิล สการ์สการ์ด ที่ต้องแสดงออกทางสีหน้าเป็นส่วนใหญ่ และหนังเรื่องนี้ก็เป็นงานแอ็กชันเต็มข้อเรื่องแรก ๆ ด้วย ก็เลยต้องฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดี หน้าบึ้ง ๆ โหนกแก้ม เสื้อผ้าเลอะ ๆ ของเขามีความหล่อปนเถื่อนที่ชวนให้นึกถึง ฌอง-คล็อด แวน แดมม์ (Jean-Claude Van Damme) ดาราบู๊ยุค 80s นิดหน่อย ส่วนตัวละครกลุ่มต่อต้านทั้งบาโชกับเบนนี ก็สร้างสีสันตลก ๆ ให้หนังไม่จมกองเลือดจนเกินไป

ส่วนอีกคนที่ต้องพูดถึงก็คือ คุณน้า ยายาน รูเฮียน แอ็กชันสตาร์จากอินโดนีเซีย เจ้าของบทหมอผี ที่แอบชวนให้นึกถึงอาจารย์ไป่เม่ยใน ‘Kill Bill: Vol. 2’ (2004) แต่เห็นแบบนี้ก็ประมาทไม่ได้เชียวนะครับ เพราะแกเคยปะฉะดะมาแล้วในหนังฮอลลีวูด อาทิ ‘The Raid’ (2011), ‘The Raid 2’ (2014) แถมยังเคยปะทะกับเข็มขัด จอห์น วิค มาแล้วใน ‘John Wick: Chapter 3 – Parabellum’ (2019) ด้วย พอได้มาเห็นลีลาเต็ม ๆ รู้เลยว่า น้าแกคือ จา พนม อินโดนีเซียชัด ๆ แถมพอเป็นหมอผี พาร์ตของน้าแกเลยมีความล้น ๆ บู๊ปนสยองแบบ แซม ไรมี เข้าไปอีก เป็นตัวละครอีกตัวที่เกินคาดมาก ๆ

โดยรวม ๆ แล้ว เป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์แกล้มป็อปคอร์นที่เรียกว่าทำถึงเกินคาดทีเดียวครับ ทั้งการนำเสนอวิชวลที่มีความเป็นเกม+มังงะที่ไม่เหมือนใคร ถ้าใครชอบแนวเกม Fighting กับพล็อตแนวล้างแค้น ล้างบางอำนาจมืด รวมไปถึงฉากแอ็กชันโหดเลือดสาดที่โหดแบบถึงเลือดถึงเนื้อ คนที่รับได้กับงานแอ็กชันเรต R ก็น่าจะชอบได้ไม่ยาก มีเส้นเรื่องที่เดินเป็นเส้นตรง ดูง่าย และเกือบ ๆ จะเดาง่าย แต่เฉลยออกมาแล้วก็ได้เหวออยู่ เป็นหนังที่คอแอ็กชันไม่ควรพลาดจริง ๆ อีกอย่างคือ มี End Credits ตอนท้ายจบเครดิตด้วยนะครับ จะรอดูก็ได้ ไม่รอดูก็ไม่เป็นไร

รีวิวโดย ประภาส อยู่เย็น