ถ้าพูดถึงหนังแนวแวมไพร์ เราจะคุ้นเคยกันดีกับกลิ่นอายของความโรแมนติดที่แฝงเข้ามาด้วย แต่ในหนังเรื่อง Nosferatu (นอสเฟอราตู) ได้พลิกโฉมหนังแวมไพร์ให้หลอนจนขนหัวลุกกว่าหนังแวมไพร์เรื่องไหน ๆ ที่เราต่างเคยได้ดู และในวันนี้ ME ก็ไม่พลาดที่จะมารีวิวหนัง Nosferatu นอสเฟอราตู ให้ทุกคนได้อ่านก่อนไปตีตั๋วกัน 🧛♀️ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เรื่องย่อ Nosferatu นอสเฟราตู หนังเรื่องนี้เป็นการรีเมคจากต้นฉบับปี 1922 โดยผู้กำกับ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส และดัดแปลงจากนวนิยาย "Dracula" เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยมี เอลเลน ฮัตเตอร์ (รับบทโดย ลิลลี-โรส เดปป์) เป็นหญิงสาวที่ถูกหลอกหลอนและต้องเผชิญกับแวมไพร์ผู้น่าสะพรึงกลัว เคานต์ออร์ล็อก (รับบทโดย บิล สการ์สการ์ด) ซึ่งหลงใหลในตัวเธอ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ ธอมัส ฮัตเตอร์ (รับบทโดย นิโคลัส เฮาลต์) สามีของเอลเลน ได้รับมอบหมายให้เดินทางไปยังคฤหาสน์ของเคานต์ออร์ล็อกเพื่อทำธุรกิจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่ากำลังถูกคุกคามจากสัตว์ประหลาดนี้ ในขณะที่เอลเลนเผชิญกับความหลอนและความสยองเมื่อเคานต์ออร์ล็อกเริ่มตามล่าเธอ หนังเรื่องนี้เป็นการผสมผสานระหว่างความสยองขวัญและแฟนตาซี โดยมีฉากและบรรยากาศที่น่ากลัวและน่าตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง https://youtu.be/h2D-797Bkm4 ฉีกกฎหนังแวมไพร์ ไม่จำเจ สะกดใจทุกฉาก Nosferatu (2024) คือการตีความใหม่ของหนังเงียบระดับตำนานในปี 1922 ที่เคยเป็นต้นกำเนิดของแวมไพร์ในจอภาพยนตร์ โดยเวอร์ชันล่าสุดนี้ได้ผู้กำกับ Robert Eggers (The Witch, The Lighthouse) มาสร้างสรรค์โลก Gothic ที่ทั้งหลอนและงดงามในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน Lily Rose Depp พลิกโฉมบทบาทครั้งใหญ่ ที่สุดของการแสดงที่ต้องดู หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Nosferatu ฉบับนี้โดดเด่นคือ Lily-Rose Depp กับบทบาท "เอลเลน" หญิงสาวที่ต้องเผชิญหน้ากับแวมไพร์สุดสะพรึง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของความหวาดกลัว ความเศร้า และความลุ่มหลงได้อย่างลึกซึ้ง การแสดงของเธอไม่ใช่เพียงแค่บทหญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ แต่เป็นตัวละครที่มีมิติและพลังบางอย่างที่สะกดคนดู ฉากของหนังและความ Gothic สวยสะกดจิตมาก Nosferatu เวอร์ชันนี้ยกระดับสไตล์ Gothic ขึ้นไปอีกขั้น ตั้งแต่คฤหาสน์อันรกร้าง เมืองที่ถูกปกคลุมด้วยหมอก เสื้อผ้าหน้าผมของหนังแสดง ไปจนถึงการใช้แสงและเงาในแบบภาพยนตร์เงียบ ทุกองค์ประกอบถูกออกแบบมาอย่างประณีตเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในฝันร้ายอันงดงาม การใช้แสงและเงาใน Nosferatu ที่ทำเอาขนลุก จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คือการใช้แสงและเงาเพื่อสร้างความน่ากลัวและความลึกลับ หนังอาจไม่มีฉาก Jump Scare แบบหนังสยองขวัญทั่วไป แต่การให้แวมไพร์โผล่มาจากมุมมืด หรือเงาของ "เคานต์ออร์ล็อก" ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามกำแพง ทำให้ความกลัวค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ และทรงพลัง แต่ละฉากในภาพยนตร์ใช้โทนสีที่เข้มข้นและการจัดแสงที่เน้นความคอนทราสต์สูง เพื่อสร้างความรู้สึกอึดอัดและน่ากลัว การใช้เงาและแสงที่ตัดกันอย่างชัดเจนช่วยเน้นย้ำถึงความลึกลับของตัวละครและสถานที่ การใช้แสงและเงาใน Nosferatu (2024) ไม่เพียงแต่สร้างบรรยากาศที่น่าขนลุก แต่ยังสะท้อนถึงความละเอียดอ่อนในการสร้างสรรค์ภาพยนตร์ของ Robert Eggers ที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกและอารมณ์ของเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง การล่าแม่มดและ Folklore ใน Nosferatu อีสเตอร์เอ้กที่ชวนให้ติดตาม สิ่งที่ทำให้ Nosferatu มีมิติที่ลึกขึ้น คือการนำแนวคิดเรื่อง “การล่าแม่มด” และ folklore แบบยุโรปมาตีความผ่านสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 15-18 มีการล่าแม่มดอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในเยอรมนีและโรมาเนีย ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเรื่องเล่าของแวมไพร์ ผู้คนในยุคนั้นหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ความตายที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือพฤติกรรมที่แปลกประหลาด ทำให้เกิดการกล่าวหาว่าผู้หญิงบางคนเป็นแม่มด เช่นเดียวกับใน Nosferatu ที่ เคานต์ออร์ล็อก กลายเป็นตัวแทนของสิ่งชั่วร้ายที่ต้องถูกกำจัด Nosferatu เป็นมากกว่าภาพยนตร์แวมไพร์ เพราะแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ของความหวาดกลัวในยุคกลาง ทั้งเรื่องการล่าแม่มด การกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล และตำนานพื้นบ้านเกี่ยวกับแวมไพร์ ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่แนวสยองขวัญ แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนประวัติศาสตร์ความเชื่อของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งทุกคนสามารถไปตามหาอีสเตอร์เอ้กต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ME เชื่อว่ายังมีอีกหลายจุดให้คนดูได้ไปค้นเพิ่มอีกเยอะเลย เครดิตรูปภาพและวิดิโอ ภาพปก จาก Nosferatu วิดิโอตัวอย่าง จาก SF Cinema ภาพที่ 1 / 2 / 3 / 4 จาก Nosferatu เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !