รีเซต

คนอียิปต์ถล่มสารคดี "Queen Cleopatra" บิดเบือนใช้นักแสดงผิวสี ดราม่าถึงขั้นฟ้อง

คนอียิปต์ถล่มสารคดี "Queen Cleopatra" บิดเบือนใช้นักแสดงผิวสี ดราม่าถึงขั้นฟ้อง
แบไต๋
21 เมษายน 2566 ( 13:00 )
448

คลีโอพัตราที่ 7 หรือราชินีคลีโอพัตรา (Cleopatra) นับเป็นบุคคลสำคัญในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ในยุคอียิปต์โบราณที่ยังคงเป็นที่สนใจของสื่อบันเทิงอยู่เสมอ สังเกตได้จากการนำเสนอเรื่องราวของราชินีคลีโอพัตราในหลากหลายรูปแบบ ทั้งหนัง ซีรีส์ สารคดี และละครเวทีมาเนิ่นนาน จนกลายเป็นราชินีแห่งอียิปต์โบราณที่กลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

ซึ่งล่าสุด Netflix ก็กำลังจะมีตอนที่นำเสนอเรื่องราวของราชินีคลีโอพัตราอีกครั้ง ในรูปแบบ Docu-Series หรือสารคดีกึ่งมินิซีรีส์ 4 ตอนในชื่อว่า ‘ราชินีคลีโอพัตรา’ (Queen Cleopatra) ที่เพิ่งปล่อยตัวอย่างออกมาให้ชมเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา และจะสตรีมให้ชมกันในวันที่ 10 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ และที่น่าสนใจคือ นอกจากจะได้ เจดา พิงเกตต์ สมิธ (Jada Pinkett Smith) ภรรยาของ วิล สมิธ (Will Smith) มารับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง

และยังได้ อเดล เจมส์ (Adele James) นักแสดงผิวดำชาวอังกฤษ มารับบทเป็นราชินีคลีโอพัตราด้วย ซึ่งคลีโอพัตราผิวดำนี่แหละ ที่จุดประเด็นดราม่าที่ลุกลามบานปลาย จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของชาวอียิปต์ในเวลานี้

หลายคนคงทราบกันดีว่า ตามข้อมูลประวัติของราชินีคลีโอพัตรานั้น พระนางคือฟาโรห์ และเชื้อพระวงค์เชื้อสายกรีกองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ปโตเลมี (Ptolemaic) ของอียิปต์ และพระนางยังเป็นราชินีที่ขึ้นชื่อว่ามีสิริโฉมงดงามหาใดเปรียบ ก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์จากการกระทำอัตวินิบาตกรรมในปีที่ 30 ก่อนคริสตกาล ซึ่งด้วยการสืบเชื้อสายกรีก-มาซิโดเนีย ของพระนางนี้เองที่ทำให้ทำให้นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าสีผิวของพระนางน่าจะค่อนไปทางสีอ่อน

และนั่นก็ทำให้ชาวอียิปต์หลายฝ่ายต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า การนำนักแสดงผิวดำมารับบทคลีโอพัตรา ถือเป็นการบิดเบือน และทำลายอัตลักษณ์ของบุคคลในประวัติศาสตร์ จนทำให้เกิดการย้อมดำ (ฺBlackwashing) เหมือนกับกรณีของหนัง ‘The Little Mermaid’ ของ Disney ที่ใช้นักแสดงผิวดำรับบทเป็นเจ้าหญิงแอเรียล หรือมินิซีรีส์ ‘Anne Boleyn’ (2021) ที่ใช้นักแสดงผิวดำมารับบทเป็นราชินี แอนน์ โบลีน ของอังกฤษ ที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งการต่อต้าน ‘คลีโอพัตราผิวดำ’ ของชาวอียิปต์ในขณะนี้ ได้ลุกลามบานปลายจนไปถึงขั้นยื่นฟ้องแบน หรือสั่งปิดการให้บริการ Netflix ภายในประเทศอียิปต์แล้วด้วย

เรื่องเริ่มต้นจากตัวสารคดี ‘Queen Cleopatra’ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ของ Docu-Series ชุด ‘African Queens’ ซึ่งเป็นซีรีส์ที่นำเสนอเรื่องราวและประวัติชีวิตจริงในประวัติศาสตร์ของผู้นำสตรีผิวดำในแอฟริกาที่มีพิงเกตต์ สมิธ ดูแลในฐานะผู้ผลิต โดยจะเป็นการนำเสนอผ่านการสัมภาษณ์นักวิชาการ ตัดสลับกับเรื่องราวสมมติที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อจำลองภาพประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าพอมันวางตัวว่าเป็นสารคดี ก็เลยถูกตั้งคำถามถึงความถูกต้องตามข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ และรวมไปถึงการตั้งคำถามว่า นี่เป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ ตามแนวคิดของคนดำแต่ถ่ายเดียวหรือไม่

จนกระทั่งเมื่อมีการปล่อยตัวอย่างของซีรีส์ออกมาเมื่อวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา แน่นอนว่าลำพังเฉพาะการได้เจมส์ นักแสดงผิวดำชาวอังกฤษมารับบทคลีโอพัตราในภาพลักษณ์เจ้าหญิงผิวดำผมหยิก ก็เป็นที่ถกเถียงมากพอดูอยู่แล้ว ในคลิปตัวอย่างดันปรากฏข้อความสนทนาของนักวิชาการประวัติศาสตร์คนหนึ่ง ที่กล่าวถึงและวิจารณ์ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ของคลีโอพัตราอย่างชัดเจนว่า “ฉันจำได้ว่า ยายของฉันบอกฉันมาแบบนี้ ตัวฉันเองไม่สนหรอกนะว่าพวกเขาจะสอนคุณในโรงเรียนมาแบบไหน แต่คลีโอพัตราน่ะเป็นคนดำ”

กลายเป็นการจุดกระแสโหมไฟดราม่าเกี่ยวกับสีผิวของคลีโอพัตราให้รุนแรงขึ้น จนกระทั่งมีนักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญด้านอียิปต์หลายคน รวมทั้ง ซาฮี ฮาวาสส์ (Zahi Hawass) นักอียิปต์วิทยา และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงโบราณวัตถุของอียิปต์ ได้ออกมาเปิดเผยกับสื่อท้องถิ่นของอียิปต์ พร้อมกับวิพากษ์ซีรีส์อย่างเผ็ดร้อน และเรียกร้องให้ชาวอียิปต์ออกมาต่อต้าน Netflix ด้วยว่า

“ข้อมูลในซีรีส์เรื่องนี้เป็นเท็จอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าพระนางเป็นชาวกรีก ฉะนั้นก็เท่ากับว่าเธอต้องมีผิวสีอ่อน ไม่ใช่สีดำ” และเสริมว่า “ผู้ปกครองอียิปต์คนเดียวที่เป็นคนผิวดำ คือกษัตริย์ในสมัยอาณาจักรคุช (Kingdom of Kush) ซึ่งเป็นราชวงศ์ลำดับที่ 25 ของอียิปต์ (อยู่ในช่วง 747-656 ปีก่อนคริสตกาล) Netflix พยายามสร้างให้เกิดความสับสนด้วยการเผยแพร่ข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จ และหลอกลวงว่าต้นกำเนิดของอารยธรรมอียิปต์นั้นมาจากคนผิวดำ”

เหตุการณ์ดราม่าหนักข้อขึ้นไปอีก เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา มาห์มูด อัล-เซมารี (Mahmoud al-Semary) ทนายความชาวอียิปต์ ได้ดำเนินการยื่นฟ้องต่อพนักงานอัยการ เพื่อเรียกร้องให้อัยการบังคับใช้มาตรการทางกฏหมายที่จำเป็นในการปิดกั้นการเข้าถึงบริการ Netflix ภายในประเทศอียิปต์ โดยเขาได้กล่าวหาว่า ซีรีส์เรื่องนี้มีภาพและเน้ือหาที่ละเมิดกฏหมายสื่อของอียิปต์

ในเอกสารฟ้องร้องยังได้ระบุว่า “เนื้อหาในแพลตฟอร์ม Netflix นั้นไม่เป็นไปตามค่านิยม และหลักการทางศาสนาอิสลาม รวมทั้งต่อสังคมและชาวอียิปต์” และกล่าวหาว่า Netflix พยายามส่งเสริมการโฆษณาชวนเชื่อตามแนวคิด Afrocentric หรือแนวคิดที่ศึกษาประวัติศาสตร์ที่มีคนเชื้อสายแอฟริกันเป็นศูนย์กลาง ซึ่งมีจุดประสงค์ในการพยายามบิดเบือนและลบล้างอัตลักษณ์ของชาวอียิปต์

แน่นอนว่าเกิดข้อถกเถึยงขึ้นในอินเทอร์เน็ตหลากหลายแง่มุม ทั้งในมุมประวัติศาสตร์ที่ตั้งคำถามว่า การศึกษาประวัติศาสตร์ตามแนวคิด ‘Afrocentric’ ถือเป็นการท้าทายต่อข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เพราะที่ผ่านมาในอดีตก็มีแนวคิด ‘Eurocentric’ หรือการศึกษาประวัติศาสตร์โดยคนผิวขาวอยู่แล้ว ที่ผ่านมาในฮอลลีวูดก็มีการบอกเล่าเรื่องของคลีโอพัตราผ่านนักแสดงผิวขาวมาโดยตลอด ในขณะที่อีกฝั่งก็มองว่า การเสนอเรื่องราวในรูปแบบสารคดีก็ยังต้องการข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง

รวมทั้งในแง่ของการแสดง ที่หลายคนมองว่าการคัดเลือกนักแสดงจากฝีมือเป็นหลักโดยไม่เน้นรูปลักษณ์หรือคาแรกเตอร์ ซึ่งที่ผ่านมาสื่อก็มีการทำแบบนี้มาหลายคร้้งแล้ว ในขณะที่อีกฝั่งก็มองว่า วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้กับการคัดเลือกนักแสดงที่จะมาสวมบทเป็นบุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ และเลยจนไปถึงขั้นมีการสร้างแคมเปญในเว็บไซต์ Change.org เพื่อให้มีการยกเลิกการฉายซีรีส์เรื่องนี้ แต่หลังจากที่รวบรวมได้แล้ว 85,000 รายชื่อ ตัวหน้าเว็บไซต์ของแคมเปญกลับถูกลบไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนทาง Netflix ที่ได้นักอียิปต์วิทยา แซลลี แอน แอชตัน (Sally-Ann Ashton) มาเป็นที่ปรึกษาด้านความถูกต้องของข้อมูล ได้กล่าวผ่าน Netflix ว่า ประชากรของอียิปต์นั้นเต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ ในขณะที่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่า มารดาของคลีโอพัตราเป็นใคร และมีเชื้อสายอะไร ฉะนั้นเธอจึงมองว่า การพรรณนาถึงคลีโอพัตราว่าเป็นชาวยุโรปจึงถือว่าเป็นเรื่องแปลก

แอน แอชตัน กล่าวเพิ่มเติมว่า “คลีโอพัตราปกครองอียิปต์มานานแล้ว ก่อนการตั้งถิ่นฐานของชาวอาหรับในแอฟริกาเหนือ ถ้าหากฝ่ายมารดาของเธอเป็นหญิงพื้นเมือง เธอก็อาจจะมีเชื้อสายแอฟริกันได้ ซึ่งซีรีส์ควรจะเป็นตัวแทนในการสะท้อนภาพของคลีโอพัตราในยุคสมัยนี้”

นอกจากนี้ พิงเกตต์ สมิธ ได้กล่าวกับเว็บไซต์ Tudum ถึงซีรีส์เรื่องนี้ว่า “เราคงไม่ได้ยินหรือเห็นเรื่องราวเกี่ยวกับราชินีผิวดำบ่อยนัก และนั่นเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับฉัน เช่นเดียวกับลูกสาวของฉัน และเพื่อให้ชุมชนของเราสามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นได้ เพราะมันมีเรื่องราวอยู่อีกมากมาย! สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ หลายครั้งเราไม่พร้อมที่จะเข้าถึงเรื่องราวของผู้หญิงในประวัติศาสตร์เหล่านี้ ที่ทรงอิทธิพล และเป็นดั่งกระดูกสันหลังของชาติในผืนแผ่นดินแอฟริกา”

ในขณะที่นักแสดงผู้รับบทคลีโอพัตราอย่างเจมส์ ก็ได้แสดงออกต่อเรื่องนี้ผ่านทาง Twitter ส่วนตัวว่า “ถ้าคุณไม่ชอบนักแสดงนักก็ไม่ต้องดูซีรีส์เรื่องนี้ก็ได้”


ที่มา: BBC, Variety, Daily Mail, Tudum, New York Post