ระยะเวลา 2 ชั่วโมง 3 นาที ที่สนุก กระชับ รวดเร็ว ยกระดับความโหด เพิ่มระดับความสยองที่ทวีความบ้าคลั่งมากกว่าเดิม พร้อมกับการรับมือกับความดุดันไม่เกรงใจใครของเจ้า Ghost Face ที่ดุหยั่งกะร็อคไวเลอร์ โผล่มาที แทงไม่ยั้ง ฟันไม่เลี้ยง เลือดกระจาย ไม่พอขออัปเกรดควงลูกซองซัลโวเพิ่มความเดือดเป็น 2 เท่า ถ้าถือนานกว่านี้ผมว่าจะกลายเป็นหนัง Action ทันที ซึ่งก็แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าเปลี่ยนมาทางนี้ก็น่าจะเห็นอะไรใหม่ ๆ บ้างน่าจะดีไม่น้อยในส่วนของเนื้อเรื่องจะเล่าต่อจากในเหตุการณ์ฆาตกรรมสุดโหด ณ เมืองโกสต์เฟส ที่เกิดขึ้นในภาคที่แล้วเลย เมื่อผู้รอดชีวิตทั้ง 4 คน อย่าง Sam , Tara , Mindy และ Chad ได้ตัดสินใจย้ายจากเมืองวูดส์โบโร เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในนครนิวยอร์ก ซึ่งบางคนกำลังจะไปได้สวย จนกระทั่งได้เกิดคดีฆาตกรรมขึ้นมากลางดึก สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ บางสิ่งที่พวกเขาหนีมามันได้ตามพวกเขามาถึงที่แห่งนี้พร้อมกับความสยองที่ถูกปลุกขึ้นมาให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมชอบที่สุดก็คือฉากเปิดเรื่องนี้คือผมยกให้เป็น The Best ของการต่อยอดจากจุดเดิมพัฒนาไปสู่อีกขั้นที่เหนือกว่าได้น่าจดจำ แถมเป็นจุดขายที่สามารถการันตีว่าหากินได้อีกยาว ๆ มีการ Meeting ของคนแต่ละยุคที่เป็นตัวแทนของ Timeline ในแต่ละภาค ไม่ว่าจะเป็น 4 เกลอจากภาคที่แล้ว (ภาค 5) มีเจ๊ Gale จากภาคแรก , เจ๊ Kirby จากภาค 4 สมทบกับตัวละครภาคนี้อย่าง นักสืบ Bailey , Quinn , Ethan , Anika และ Danny มาสุมหัวกันปราบเจ้า Ghost Face ที่หนังเหนียวคงกะพันตายยากตายเย็นเหลือเกิน เหมือนกับ Avengers รวมตัวพิทักษ์โลกเฉพาะกิจ มีการพยายามวางแผนแก้เกมส์โต้กลับกันไปมาได้น่าสนใจ คือต่อให้จะพยายามมากแค่ไหนจงอย่าลืมว่าตัวฆาตกรเองก็มีการปรับตัวพัฒนาวิธีตามยุคสมัยด้วยเช่นกัน ทั้งวิธีการฆ่าที่โหดขึ้น รุนแรงขึ้นจนเสียวท้องน้อยชะมัด อีกฉากนึงที่ลุ้นระทึกมากก็คือฉากรถไฟนี้ขนาดว่าอยู่ท่ามกลางคนเยอะ ๆ แต่ทำไมมันทั้งลุ้นทั้งอึดอัดบีบหัวใจเต้นรัว ๆ ได้ขนาดนี้บางช่วงดูอ่อนแรงลงจากเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานให้หยุดพักหายใจบ้าง ขณะเดียวกันก็ไม่อาจไว้ใจสถานการณ์รอบตัวได้แม้แต่น้อยเช่นกัน ซึ่งระยะทางของการดำเนินเรื่องสามารถสร้างบรรยากาศปกคลุมด้วยความระแวงจนน่าอึดอัดได้เป็นระยะ ที่ขาดไปไม่ได้ก็คือการหยิบมุกเก่ามาเล่าใหม่ที่เป็น Signature ประจำตัวของ Franchise นี้ยกมาใช้บ่อย ๆ เช่น การ Parody วงการหนัง , มุกคำถามหนังเรื่องโปรด แม้กระทั่งการจิกกัดหนังตัวเอง ซึ่งถ้าคนที่ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกจะรู้สึกอินกับ Keywords ที่เขาสื่อออกมาตลอดทั้งเรื่องได้ง่ายเป็นพิเศษจนแอบยิ้มอ่อน ๆ ออกมา ถ้าไม่ได้ติดตามตั้งแต่แรกหรือดูเป็นบางภาคจะรู้เรื่องมั้ย รู้เรื่องแต่จะงง ๆ กับการขยี้มุกพวกนี้กันซะหน่อย จะสงสัยกับตัวเองว่าพวกนั้นพูดถึงอะไรอยู่ หรือ ถ้าเพิ่งมาดูที่ภาค 5 ก็จะเข้าใจเรื่องได้ เพราะหนังเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้นทันที เพียงแต่ว่ามันขาดส่วนผสมอะไรบางอย่างที่เพิ่มความกลมกล่อมในอาหารไปเท่านั่นเองแม้จะขาดปูชนียบุคคลไปอย่าง Nave Campbell แต่อย่างน้อยยังมี 2 สาว Melissa Barrera กับ น้อง Jenna Ortega รับช่วงต่อจากทายาทอสูรเป็นเจ้าแม่ Iconic ของ Slasher Horror รุ่นใหม่ได้อย่างหายห่วง โดยมีเจ๊ดันอย่าง Courtney Cox และ Hayden Panettiere เป็นพี่เลี้ยงช่วยประคองให้ Franchise ชุดนี้เดินต่อไปได้ ขณะเดียวกันต้องยกความดีความชอบแก่ 2 ผู้กำกับ Matt Bettinelli-Olpin และ Tyler Gillett ทำหน้าที่อนุรักษ์สไตล์ความเป็น Whodonit ในบรรยากาศความอึมครึมเลิกลั่กของตัวละครได้น่าติดตามไปตลอด กระทั่งบทสรุปที่พอจะเดาได้อีกบางส่วนก็คาดไม่ถึงจนหน้าเหวอไปพักนึง ซึ่งผู้กำกับคงไม่ต้องการให้เรารู้มากเกินไปและรู้ดีว่าควรจะเล่นประมาณไหนจึงใส่ปมที่เคยเล่นมาจากภาคก่อน ๆ ผสมกับไอเดียใหม่ ๆ ลงไป ผลที่เห็นคือเดาถูกและทายผิดไปตามกัน ข้อเสียคือยังมีบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผลหลงเหลืออยู่แถมยังไม่สามารถก้าวพ้นจากทางเดิม ๆ ได้อีกเช่นเคย เรียกว่ายังกินบุญเก่าจากความสำเร็จที่ยังขายได้นั่นแหล่ะ ยอมรับว่าภาคนี้จังหวะการเล่าเรื่องพัฒนาขึ้นชั้นเชิงยังหลอกตาคนดูได้อยู่หมัด มีความพยายามจะขยายจักรวาลไปสู่ทิศทางใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ตราบใดที่หนังชุดนี้ยังขายดีเทน้ำเทท่าอยู่ ยังมีมิตรรักแฟนคลับคอยมาอุดหนุนกันไม่ขาดสาย เจ้า Ghost Face ก็ยังคงทำหน้าที่ตามหลอกหลอนคุณกันต่อไปเช่นกันขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม EMCONCEPT เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับขอขอบคุณภาพประกอบโดย : Facebook / ScreamMovies = ภาพประกอบหน้าปกที่ 1 / ภาพประกอบหน้าปกที่ตัวอักษร 2 / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 คอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน