[รีวิว] Attack on Titan: The Final Season 3.2 ปิดฉากมหากาพย์แห่งความแค้น ด้วยน้ำตาและความปลื้มปีติ
หนึ่งทศวรรษคือช่วงเวลาที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้มากมาย มันเป็นยุคเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี หลายคนสามารถเติบโตไปแบบก้าวกระโดด ชีวิตคนเราสามารถขึ้นสูง และลงสุดได้ในทศวรรษเดียว ซึ่งนอกจากจะเป็นเวลาแห่งการผลิบานของชีวิตแล้ว มันยังเป็นช่วงเวลาที่ ‘Attack on Titan’ ได้สร้างความบันเทิงให้กับคนดูมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
จะมีอนิเมะซักกี่เรื่องที่เดินทางมาเป็นเวลายาวนาน ที่แม้ในตอนสุดท้ายจะไม่ได้ฉายโรงหนังอย่างสมศักดิ์ศรี แต่ผู้คนก็พร้อมกล่าวคำยินดี อำลา และคำส่งท้าย ซึ่ง ‘Attack on Titan’ ก็สามารถทำสิ่งที่ว่ามาได้ ในวันที่ทุกคนพร้อมใจรอบทสรุปเหล่านี้
จากผู้ใฝ่หาอิสรภาพสู่ผู้ก่อสงคราม
อนิเมะเรื่องนี้ ดัดแปลงจากมังงะของอาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) เล่าเรื่องราวของมนุษย์กลุ่มหนึ่งที่ถูกจับไปขังไว้ในกำแพงขนาดใหญ่ โดยภายนอกกำแพงนั้นมีเหล่ายักษ์ที่คอยจับคนกินเป็นอาหาร ซึ่ง ‘Attack on Titan’ มีศูนย์กลางอยู่ที่เอเรน เยเกอร์ เด็กหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความแค้น และใฝ่หาอิสรภาพนอกกำแพง ทว่าหลังจากที่เขากับพรรคพวกออกมาจากกำแพงได้ เอเรนก็ได้พบว่าโลกภายนอกนั้นไม่เป็นไปดั่งที่ฝัน เพราะคนภายนอกกำแพงจงเกลียดจงชังพวกเขา นั่นทำให้เอเรนเริ่มแผนการพสุธากัมปนาท เพื่อจมมนุษย์ทุกคนนอกกำแพงให้ตายแทบเท้าของเขาไปซะ
ในพาร์ตสุดท้ายของภาค The Final Season เริ่มขึ้นด้วยการเปิดศึกสงครามของเหล่าผู้ครอบครองพลังไททัน ที่ต้องต่อกรกับกองทัพไททัน และพลังไททันบรรพบุรุษของเอเรน ซึ่งความสนุกของพาร์ตนี้คือการเห็นเหล่าหน่วยสำรวจ ได้กลับมาต่อสู้ร่วมกันอีกครั้ง ดังนั้นแล้วพาร์ตนี้จึงทำให้คนดูรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปดู ‘Attack on Titan’ ภาคแรกใหม่เลยล่ะ ซึ่งเป็นพาร์ตที่ทำให้เราน้ำตารื้นด้วยความยินดี เพราะตลอดทั้งเรื่องที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเอเรนหรือกลุ่มไรเนอร์เองก็ต่อสู้ด้วยการใช้ทิฐิเป็นที่ตั้ง แต่เมื่อพวกเขาวางทิฐิลง และหันคมดาบเพื่อปกป้องมนุษยชาติ มันจึงเป็นอะไรที่ชวนคนดูคิดถึงวันวานที่พวกเขายังร่วมรบด้วยกันในซีซันแรก
ไม่เพียงแค่นั้น พาร์ตสุดท้ายยังทำหน้าที่เป็นเหมือนงานคืนสู่เหย้าอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะทำให้ตัวละคร และคนดูได้รำลึกความหลังกันแล้ว พาร์ตนี้ยังทำหน้าที่เป็นแฟนเซอร์วิสที่ยอดเยี่ยม อะไรที่ไม่คิดว่าจะเห็นก็ได้เห็น ตัวละครที่ไม่คิดว่าจะพบก็โผล่มา ความบ้าพลังของสงครามครั้งนี้ เปรียบได้กับฉาก ‘Avengers รวมพลัง’ ในหนัง ‘Avengers: Endgame’ เลยก็ว่าได้
การคืนสู่เหย้าของตัวละครเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงแฟนเซอร์วิสดาด ๆ แต่มันคือพาร์ตที่ตัวละครเปิดใจถึงความผิดที่มีให้กัน ได้เคลียร์ปัญหาที่ค้างคาใจ และนั่นทำให้การโผล่มาของตัวละครเก่า ๆ เป็นสิ่งที่ชวนให้เราน้ำตารื้นอย่างมาก แม้กระทั่งซีนที่ตัวละครแซวกันในฉากซีเรียส มันยังทำให้เราอดอมยิ้มไม่ได้ เสมือนได้พบกับเพื่อนเก่าที่โตด้วยกันมา
บาปที่ทุกคนต้องแบบรับ
เนื้อเรื่องของพาร์ตสุดท้าย จะพาเรากระโดดเข้าไปอยู่กลางดงสงคราม ท่ามกลางความขัดแย้งของชาวเอลเดียกับชาวมาร์เลย์นั้น ท้ายที่สุดแม้โลกจะแตกแต่มนุษย์ก็ยังทำสงครามกันอยู่ดี นั่นทำให้ตัวละครเหล่านี้ เหมือนเป็นกระบอกเสียงกลับมาสอนคนดูอย่างเรา ๆ ว่า สิ่งที่ฆ่าคนตายไม่ใช่อาวุธสงคราม แต่มันคือความขัดแย้ง ฉะนั้นแล้วชัยชนะที่แท้จริงจึงเป็นการปล่อยวาง และเดินหน้าต่อ
ตลอดเรื่องราวของ ‘Attack on Titan’ เราจะเห็นเลยว่าซีรีส์ได้นำเสนอประเด็นความขัดแย้งทางศีลธรรมออกมาอย่างมากมาย ตั้งแต่การต่อสู้เพื่ออิสรภาพ การเสียสละ และต้นทุนของการบรรลุเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรับรู้เลยว่า การจะเดินมาได้จนจบเรื่องนั้น พวกเขาต้องเสียสละไปมากแค่ไหน นั่นทำให้ตัวละครเหล่านี้ไม่มีใครที่ขาวสะอาด เพราะท้ายที่สุดทุกคนก็มือเปื้อนเลือดเพื่อเป้าหมายของตนอยู่ดี แต่อยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้ต่อความผิดบาปในอดีต และก้าวไปข้างหน้ายังไง
สำหรับผู้เขียนแล้ว หนึ่งในตัวละครที่ชอบที่สุดก็ยังคงเป็น ไรเนอร์ เบราน์ เพราะเขาเป็นเพียงเด็กที่ถูกเลือกให้เป็นนักรบ ต้องเข้าไปเป็นสปายในกำแพง ทว่าการที่เขาอยู่กับหน่วยสำรวจมากเกินไป ทำให้เรู้สึกผิดบาปในตอนที่ทรยศ จนเป็น PTSD และคิดจะตายอยู่ทุกวัน ทว่าท้ายที่สุดไรเนอร์ก็สามารถปลดพันธนาการทางใจได้ จนกลายเป็นตัวละครที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นพระเอกเลยทีเดียว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของตัวละครนี่แหละ คือจุดเด่นที่ทำให้เนื้อหาของ ‘Attack on Titan’ ซับซ้อน และมีมิติมากกว่าเดิม
ในส่วนของงานภาพ ซีซันนี้ยังคงรับผิดชอบโดย MAPPA สตูดิโอเจ้าเดียวกับ Chainsaw Man
และ Jujutsu Kaisen ที่แม้งานภาพจะไม่ได้ดีเลิศเลอแบบสองเรื่องดังกล่าว (ก็แหม ไม่ใช่ลูกรักอ่ะเนอะ) แต่ด้วยความที่พาร์ตสุดท้ายนี้ ยังมีเวลาให้สตูดิโอได้พักหายใจ จึงทำให้พวกเขามีสามารถทำพาร์ตสุดท้ายนี้ให้ออกมาดีกว่า The Final Season พาร์ต 1 อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนั้นในภาคนี้ยังมีฉากซิกเนเจอร์ด้วยการใช้อุปกรณ์ 3 มิติที่วิชวลดีระดับเดียวกับ WIT Studio (สตูดิโอที่รับผิดชอบ ‘Attack on Titan’ 3 ภาคแรก) จนสามารถพูดได้เต็มปากว่าพาร์ตสุดท้ายนี้ MAPPA ขนทุกอย่างมาใส่แบบไม่มีกั๊กเลยล่ะ
อย่างไรก็ตาม ในพาร์ตสุดท้ายนี้ก็ไม่ได้ไร้ข้อบกพร่องขนาดนั้น เพราะ ‘Attack on Titan’ ยังมีแผลใหญ่อยู่ นั่นคือเนื้อเรื่องที่ดูเร่งรีบมากเกินไป ทำให้ประเด็นหลายอย่างไม่ถูกเฉลย รวมถึงตัวละครบางตัวก็หมดบทไปแบบง่าย ๆ ทั้งที่เคยเป็นตัวละครสำคัญ แต่เนื่องจากพาร์ตนี้มีปัญหาตั้งแต่ต้นฉบับหนังสือการ์ตูนของอาจารย์อิซายามะแล้ว เราจึงพูดได้แค่ว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่อนิเมะจะทำได้ โดยอนิเมะช่วยเสริมหลายฉากให้ออกมาดีมากขึ้น อาทิ ฉากที่อาร์มินคุยกับเอเรนในตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ
‘Attack on Titan: The Final Season 3.2’ เป็นการปิดจบบทสรุปที่สมศักดิ์ศรีความยิ่งใหญ่ เห็นได้เลยว่าทีมงานทุ่มเทมากแค่ไหน อารมณ์ และความรู้สึกที่เกิดขึ้นในซีซันนี้มันอิมแพกต์ซะจนทำให้คนดูอย่างเราน้ำตาไหล แม้จะมีบาดแผลที่ใหญ่มาก แต่ความบันเทิงที่ตอบโจทย์นี้ก็ทำให้เราพอมองข้ามบาดแผลนั้นไปได้ ซึ่งเนื้อเรื่องที่เข้มข้น เชือดเฉือน รวมถึงฉากแอ็กชันที่งดงามนั้น ทำให้ ‘Attack on Titan’ จะเป็นอีกตำนานของวงการการ์ตูนอย่างแน่นอน