หากคุณกำลังมองหา แรงบันดาลใจดี ๆ ในยามที่เราอาจจะเหนื่อย ล้า ท้อ กับสภาพเศรษฐกิจในตอนนี้ ไม่ว่าจะการทำงาน การทำธุรกิจ รวมถึงผู้ที่กำลังเรียนกำลังศึกษาอยู่ วันนี้ผู้เขียนขอแบ่งปันหนังหนึ่งเรื่องที่แม้จะผ่านมา 14 ปีแล้ว แต่เนื้อหา แนวคิด รวมทั้งความรัก ความรู้สึก ความมุ่งมั่นในหนังไม่ได้ลดลงเลย และถือว่าหนังเรื่องนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้เขียนมาโดยตลอด จนกระทั่งผู้เขียนได้มีลูกชาย ยิ่งทำให้เข้าใจความรู้สึก ของคนที่เป็นพ่อได้อีกระดับ ขึ้นมาหลายเท่าเลยก็ว่าได้ เรื่องนั้นก็คือ The Pursuit of Happyness หรือในชื่อไทย ยิ้มไว้ก่อน พ่อสอนไว้ภาพถ่ายจากผู้เขียนหนังเรื่องนี้ได้ฉายมากแล้วตั้งแต่ปี 2006 ถึงแม้จะเป็นหนังเก่า แต่เนื้อหาไม่เก่าตามกาลเวลาเลย การทำงาน การทำธุรกิจ อาจจะเปลี่ยนไปจากปัจจุบันบ้าง แต่แก่นของหนังเรื่องความพยายาม ความมุ่งมั่นในการทำงาน ทำธุรกิจพัฒนาของพระเอก ซึ่งรับบทโดย วิล สมิธ นักแสดงผิวสีเจ้าบทบาท ซึ่งมีผลงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแอคชั่น หนังอารมณ์ต่างก็ทำมาได้ดีมาก จนมาถึงเรื่องนี้ผู้เขียนถึงกับอินเข้าไปเป็นตัวละครเลยทีเดียว ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก ๆ ทั้งความพยายามที่จะทำเพื่อครอบครัว ทั้งการทำธุรกิจที่ล้มเหลวมาก่อนหน้านั้น จนสู่ความพยายามของอาชีพใหม่ ที่มั่นคง และมั่นคั่งมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะรักษาครอบครัวไว้ให้อย่างมีความสุขเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนจะประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของครอบครัวเครดิตภาพ : Sony Picturesหนังจะสะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ของความเลื่อมล้ำด้านฐานะ ของบุคคลที่ร่ำรวย และคนที่ยากจน และอีกปัจจัยหลักในการหย่าร้าง อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากกว่าความรัก ก็คือสภาพการเงินนั่นเอง ที่ถ่ายทอดออกได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้มีความรักความเข้าใจมากแค่ไหน แต่หากสภาพการเงินในครอบครัวไม่คล่อง ไม่พอ หมุนไม่ทันก็ส่งผลโดยตรงกับครอบครัวแน่นอน ทำให้เป็นเรื่องสะท้อนให้เห็นว่าเราต้องวางแผนการเงินให้ดี และเรื่องการลงทุนก็เช่นกันเรื่องนี้สื่อความหมายได้ดีว่า อย่ามองว่าธุรกิจทุกอย่างจะไปได้ดี โดยไม่มีอุปสรรคและปัญหา และควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุนอะไรสักอย่างเครดิตภาพ : Sony Picturesส่วนสำคัญของเนื้อหาที่หนังเรื่องนี้เล่นโดยใจถึงผู้ชมก็คือความรักของพ่อ ที่มีต่อลูก ว่ารักของพ่อยิ่งใหญ่ ยอมทำทุกอย่าง ยอมลำบาก เพื่อให้ลูกสบาย และแสดงให้เห็นได้ว่าผู้ชายหนึ่งคนทำอะไรเพื่อลูกได้บ้าง รวมถึงการที่พ่อสอนลูกไว้ในหลายๆ เรื่อง และเรื่องที่โดนใจ จนกลายเป็นที่กล่าวถึงเลยก็คือ ประโยคที่พูดว่า “อย่าให้ใครมาบอกลูกว่า ลูกทำนั่น ทำนี่ไม่ได้ แม้แต่พ่อ เข้าใจไหม ? เมื่อลูกมีความฝัน ลูกต้องปกป้องมัน คนที่ทำอะไรไม่ได้ เขาก็จะบอกว่าลูกก็ทำไม่ได้ด้วย และเมื่อลูกต้องการอะไร ลูกต้องเอามาให้ได้” ถือว่าเป็นประโยคที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก ๆ เลยทีเดียวภาพถ่ายจากผู้เขียนในส่วนของการเดินเรื่องถือว่าทำออกมาได้ดีมาก มีการเดินเรื่องไม่อืด ทำให้เราได้คิดอยู่ตลอดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ทำให้เราได้ลุ้น ทำให้เราเข้าถึงอารมณ์กดดันหลาย ๆ อย่างที่พระเอกต้องแก้ไขสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการโดยบีบเรื่องที่พัก เรื่องการเรียนรู้ในอาชีพใหม่ที่ต้องเจออุปสรรคมากมาย รวมถึงในส่วนของครอบครัว เดินเรื่องได้อย่างต่อเนื่องพาชวนติดตามไม่น่าเบื่อเลยภาพโดย WillSpirit SBLN จาก unsplash.com ยิ่งเพลงประกอบในแต่ละช่วงถือว่าเลือกมาได้เหมาะสม ทั้งช่วงที่ต้องลุ้นกับการทำงาน การแข่งขันการเดินทาง รวมทั้งซีนอารมณ์ต่าง ๆ ที่เลือก เพลง Sound ประกอบได้ดีมาก ยิ่งส่งเสริมอารมณ์ของผู้ชมเป็นอย่างมากภาพโดย Nik MacMillan จาก unsplash.comส่วนในเรื่องของงานภาพ ถึงแม้จะเป็นหนังเก่า คุณภาพในการถ่ายทำในยุคนั้นยังจำกัด แต่การเลือกฉาก การเลือกมุมกล้องโดยรวมถือว่าทำได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะซีนอารมณ์พ่อลูก เห็นแล้วน้ำตาไหลไปหลายรอบเลยทีเดียว ถือว่าผู้กำกับถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก ๆภาพถ่ายจากผู้เขียนท้ายนี้ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหากใครที่ยังไม่ได้ชม ลองไปหาชมดูได้เลยผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ที่ออกมาให้บริการเลือกรับชมผ่านสตรีมมิ่งได้เลย เชื่อว่าจะได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆ และเมื่อเวลาผ่านไปลองกลับมารับชมอีกครั้งก็จะได้มุมมองใหม่ ๆ ตามอายุ ประสบการณ์ของเราดีด้วย แล้วโอกาสหน้าผู้เขียนจะหาหนังดี ๆ มาแบ่งปันเรื่องราวอีกครั้ง แล้วเจอกันครับ