ONWARD (2020, Dir. Dan Scanlon) แอนิเมชันเรื่องล่าสุดของ Disney - Pixar ที่เพิ่งฉายในไทยไปได้ไม่นานในช่วงเดือนมีนาคม ก่อนที่โรงภาพยนตร์จะปิดตัวลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 วันนี้ผมเลยอยากจะมารีวิวภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ทุกๆคนได้อ่านเพราะเชื่อว่าหลายคนนั้นยังไม่ได้ดูกันและอยากให้บทความนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยตัดสินใจอยู่ว่าจะดูดีไหมหลังจากหนังกลับมาฉายตามปกติในโรงภาพยนตร์ หรือถ้าใครอยากรับชมตอนนี้สามารถดูได้แบบ Premium ใน True ID**โดยผมจะไม่ทำการสปอยล์เนื้อเรื่องหลักเพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการรับชม** เพียงแต่จะหยิบยกประเด็นต่างๆที่ทรอดแทรกในหนังมาพูดถึงและความรู้สึกส่วนตัวหลังจากได้ชม เรื่องย่อเรื่องราวของคู่พี่น้อง Ian และ ฺBarley Lightfoot (พากย์เสียงโดย Tom Holland และ Chris Pratt) ที่พยายามร่ายเวทมนตร์ที่สามารถชุบชีวิตพ่อของเขากลับมาได้ 1 วันแต่แล้วก็เกิดความผิดพลาดทำให้พ่อของพวกเขาปรากฎมาแค่ครึ่งล่าง ทำให้ทั้งคู่ได้ออกตามหาคริสตัลวิเศษที่จะมอบขุมพลังในทำให้พ่อของพวกเขาปรากฎขึ้นมาแบบเต็มตัว และใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกับพ่อก่อนที่เวทมตร์นั้นจะสลายไปก่อนเมื่อหมดวัน นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายที่พวกเขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับอดีตของโลกที่เคยเป็น ว่าครั้งนึงมันเคยเต็มไปด้วยสิ่งมหรรศจรรย์ การผจญภัยครั้งนี้จะเต็มไปด้วยความสุข ความเศร้า และความอบอุ่นสไตล์ Disney - Pixar ที่อาจจะทำให้คุณเสียน้ำตารีวิว ที่ผมบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่การ์ตูนเพราะมันมีประเด็นทางสังคมที่ดีมากๆอยู่เรื่องนึง คือ อนุรักษ์นิยม VS ความก้าวหน้าทางสังคม ที่ถูกเล่าผ่านบริบทของเมือง New Mushroom ที่เปรียบเสมือนเมืองธรรมดาเมืองนึงที่ผู้คนต่างใช้ชีวิตตามปกติไม่ต่างจากเรา ครั้งหนึ่งเมืองนี้เคยเต็มไปด้วยเวทมนตร์ ไม่ว่าจะเป็นการร่ายคาถา เหาะเหินเดินอากาศ และสิ่งมหรรศจรรย์มากมาย แต่ด้วยกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปโดยมีเทคโนโลยีพร้อมทั้งการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมเข้ามาแทนที่ ทำให้เวทมนตร์เหล่านี้ค่อยๆจางหายไปในท้ายที่สุด จนเด็กรุ่นหลังอย่าง Ian และ Barley นั้นไม่มีโอกาสที่จะได้สัมผัสมันอย่างแท้จริง เรื่องนี้ในภาพยนตร์นั้นไม่ต่างจากโลกแห่งความจริงของเราที่กาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมประเพณีต่างๆของแต่ละประเทศเพื่อให้มันมีความร่วมสมัยและก้าวทันโลกมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดข้อถกเถียงมากมายว่าอะไรนั้นรุนแรงกว่ากันกว่าระหว่างการยอมสูญเสียตัวตนของเราไปเพราะวัฒนธรรมที่จางหายหรือการยอมที่จะอนุรักษ์สิ่งเหล่านั้นไว้จนไม่สามารถก้าวเดินสู่อนาคตได้ ตัวภาพยนตร์นั้นสามารถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาได้อย่างดีผ่านแอนิเมชันที่เรียกได้ว่า เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี อีกประเด็นนึงใน Onward ที่ทำได้ดีไม่แพ้กันคือเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่เรามักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งในหนัง Disney - Pixar ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Toy Story, Finding Nemo, Coco และอีกมากมาย โดยเรื่องนี้นั้นพ่อของพวกเขาเสียไปตั้งแต่ Ian ยังเด็กมากๆทำให้เขาจำอะไรเกี่ยวกับพ่อไม่ได้เลยทำให้ Father Figure หรือลักษณะของความเป็นพ่อ ส่วนใหญ่ถูกส่งผ่านจากตัวพี่ชายมาตลอด Barley ซึ่งเขาคอยดูแลปกป้องน้องมาตลอดถึงแม้ว่าจะไม่แสดงออกอย่างชัดเจน ตัวละครแม่นั้นก็ยังมีความรู้สึกกังวลใจอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่อยากเสียลูกๆไปเหมือนกับที่เคยเสียพ่อ ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยากเกินจะตัดขาดระหว่างคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวและคู่สองพี่น้องนี้เคมีที่เข้ากันมากๆของ Ian และ ฺBarley Lightfoot นั้นต้องยกความดีความชอบให้กับนักพากย์ทั้งสองคนนี้ Tom Holland และ Chris Pratt ที่สนิทกันอยู่แล้วในชีวิตจริงจากการร่วมงานกันมาก่อนในภาพยนตร์ของค่ายมาร์เวล ทำให้น้ำเสียงในบทสนทนาเวลาที่พวกเขาคุยกันนั้นรู้สึกเหมือนพี่น้องกันจริง และอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครยังถูกถ่ายทอดผ่านเสียงพากย์ได้ดีอีกด้วย อีกหนึ่งเรื่องที่โดดเด่นจากหนังเรื่องนี้คือ Original Soundtrack: Carried me with you - Brandi Carlile ที่เนื้อเพลงนั้นพูดถึงบาดแผลต่างๆในอดีตที่หล่อหลอมให้เรากลายเป็นตัวเราในทุกวันนี้ และคนบางคนที่ยังอยู่เคียงข้างเราเสมอ คอยประคับประคองกันไปในการผจญภัยที่เรียกว่าชีวิต ซึ่งสะท้อนสารที่หนังต้องการจะสื่อได้ดีทีเดียว ความคิดเห็นหลังชมภาพยนตร์จบ สำหรับผมแล้วนี่เป็นแอนิเมชั่นที่ชอบที่สุดนับตั้งแต่ Coco (2017) เรื่องนี้มันค่อนข้างกลมกล่อมและครอบคลุมทุกด้านมากๆไม่ว่าจะเป็นสุข เศร้า ตลก แอคชั่น ทำให้สัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์ในตัวมันเองในขณะที่ Coco นั้นค่อนข้างเทไปทางเศร้าและการจากลาซึ่งอาจจะต่อติดกับมันยากกว่า ตอนดู Onward จบผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่อบอุ่นมากๆ ตอนนี้ทางค่ายเอามาลง Disney+ ละนะ แต่ยังไม่เปิดบริการในไทย ถ้าใครอยากดูตอนนี้ชมได้ที่ Application ของ TrueID หรือจะรอชมในโรงภาพยนตร์อีกทีตอนเปิดก็ได้นะครับขอบคุณภาพจาก IMDB และ Application ของ True IDรูปหน้าปก/ ภาพที่ 1/ ภาพที่ 2/ ภาพที่ 3/ ภาพที่ 4/ ภาพที่ 5