ภาพปกโดยผู้เขียนหากเรายังจำได้ ครั้งแรกที่เราเริ่มหัดปั่นจักรยานเป็นอย่างไร? ครั้งแรกที่เริ่มหัดใช้คอมพิวเตอร์เป็นอย่างไร? หรือ ครั้งแรกที่เราหัดเขียนบทความเป็นอย่างไร? หากย้อนกลับไป เราได้คาดหวังอะไรมากไปกว่าจากการปั่นจักรยานเป็น การใช้คอมพิวเตอร์เป็น หรือเขียนบทความเป็น หรือไม่? ทั้งนี้ ในเคล็ดลับที่ 28 ของ 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ David Niven ได้บอกแก่เราว่า ลองในสิ่งแปลกใหม่ องค์ประกอบของโอกาสนั้นมีอยู่ในทุกสิ่งหากกล่าวโดยทั่วไปแล้ว เราจะเห็นว่าทั้งชีวิตในด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพของเรา ต่างก็ได้รับผลมาจากการพลิกผันอย่างฉับพลันของโชคชะตา เช่นนี้จึงทำให้ David Niven ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “คุณจะมีโอกาสได้ทำงานที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครคือคนอ่านเอกสารสมัครงานของคุณในวันนั้น” มากไปกว่านั้น ความจริงของโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับคนหมู่มาก ทุกอย่างที่เราทำหาได้ขึ้นอยู่กับความสามารถหรือประสบการณ์ของเราแต่อย่างใดไม่ ทว่าโอกาสใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น จะถูกเก็บเกี่ยวหรือไม่นั้น มักจะขึ้นอยู่กับว่ามีผู้สนใจที่มองเห็นและคว้าโอกาสนั้นไว้หรือเปล่า? ต่างหากนอกจากจะขึ้นอยู่กับคนอื่นแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด David Niven ได้ย้ำเตือนเอาไว้ด้วยว่า “คุณจะต้องพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนของผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น อีกทั้งจะต้องระลึกเอาไว้เสมอว่าโอกาสอาจจะเล่นตลกกับคุณในวันนั้นพอดีก็เป็นได้ แต่หากยิ่งคุณพยายามมากเท่าไร โอกาสที่คุณจะได้ผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น”ขอบคุณภาพจาก Dreamstale ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนเมื่อ Stephen (สตีเฟน) กลับมาจากการพักผ่อนวันหยุดของเขา เขาก็พบว่ามี E-mail ส่งถึงเขามากกว่า 660 ฉบับ แม้ในวันธรรมดาเขาก็แทบจะรับไม่ไหวกับจำนวนข้อความที่เข้ามาใน E-mail ซึ่ง Stephen กล่าวว่า “ยังมีอีกหรือ? ผมจะทนไม่ไหวแล้วนะ! มีบางครั้งที่ผมรู้สึกกังวล ‘ให้ตายสิ! ผมจะจัดการ E-mail พวกนี้ได้ยังไงกัน’”Stephen คร่ำครวญว่า E-mail ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ผิดพลาดของทุก ๆ คนไปโดยปริยาย ไม่ว่ามันจะดูเข้าทีขนาดไหนก็ตาม “ผมได้รับ E-mail จากคนที่ออฟฟิศอยู่ห่างจากผมไปเพียงสามฟุต” เขาไม่ชอบการติดต่อสื่อสารทาง E-mail ที่กินเวลาของเขา อีกทั้งยังส่งผลต่อจังหวะการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเขาอีกด้วย “คุณกระโดดเข้าและออกจาก E-mail เหมือนกับการสนทนาหนึ่ง ๆ ซึ่งการสื่อสารด้วย E-mail นั้นสามารถบ่อนทำลายผลิตภาพได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ถ้าผมกลายเป็นคนที่ไม่ทราบข่าวสารอะไรเลย นั้นจะถือเป็นความหายนะ” เขาตั้งข้อสังเกตขอบคุณภาพจาก Dreamstale ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนอย่างไรก็ตาม Stephen ได้ฝึกตนเองให้ตรวจเช็ก E-mail ที่ไม่มีความสลักสำคัญใด ๆ อย่างรวดเร็ว แต่กระนั้น เขาก็จะต้องมั่นใจด้วยว่าเขาจะไม่ได้พลาดสิ่งที่สำคัญ “คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ผมสามารถตอบ E-mail และพูดโทรศัพท์ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจจะดูน่าขันไปสักนิด แต่นั่น หมายความว่าผมจะสามารถอ่าน E-mail ที่ผมต้องการอ่านจากที่ส่งเข้ามานับพันฉบับได้ มันเป็นเกมของโอกาส ซึ่งผมจะต้องเล่นต่อไป”อันนี้ต้องโน้ตนักวิเคราะห์เกี่ยวกับอาชีพค้นพบว่า 83 เปอร์เซ็นต์ของคนทํางานระดับกลางเชื่อว่า โอกาสนั้นมีบทบาทสำคัญต่อเส้นทางการดำเนินอาชีพของพวกเขา ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเปิดกว้างให้กับโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันขอบคุณภาพจาก Dreamstale ใน flaticon.com; แก้ไขโดยผู้เขียนคุยกันหลังอ่านเสร็จผมพบว่าในหลายครั้งการสรุปเรื่องจากหนังสือหรือการขยายความจากหนังสืออย่างเช่นที่ผมกำลังทำอยู่นี้ ผู้เขียนมักจะยกตัวอย่างที่ค่อนข้างจะเข้าใจได้ยาก และแทบจะไม่มีความเชื่อมโยงกับหัวข้อที่เขาต้องการจะสื่อสารเลย ดังนั้น เราลองมาพิจารณาดูว่าตัวอย่างและผลการศึกษาที่ David Niven ได้ยกมานั้นต้องการจะบอกอะไรแก่เรา กล่าวคือ เราจะเห็นจากตัวอย่างว่า Stephen มองการตอบ E-mail และพูดโทรศัพท์ได้ในเวลาเดียวกันเป็นเกมของโอกาสสำหรับเขา แล้วมันเป็นโอกาสยังไง? คำตอบนี้มีอยู่ในผลการศึกษา นั่นคือ คนทํางานระดับกลางเชื่อว่าโอกาสนั้นมีบทบาทสำคัญต่อเส้นทางการดำเนินอาชีพของพวกเขา จึงทำให้พวกเขาเปิดกว้างให้กับโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งกรณีนี้ก็คือโอกาสที่มากับ E-mail นั่นเองอย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่งผมอยากจะชวนคุยเกี่ยวกับมุมมองของโอกาสและการสร้างโอกาสขึ้นมาเอง ทั้งนี้ ในประเด็นดังกล่าวมักถูกกล่าวถึงอย่างน้อย 2 แบบ ได้แก่ เราสามารถสร้างโอกาสเองได้ และโอกาสคือสิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ สำหรับผู้ที่เชื่อในแบบแรก เขาเหล่านั้นจะได้พบกับแนวคิดของการเชื่อมั่นในตนเอง การลงมือทำและจริงจังกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ขณะที่ในแบบที่สองเรียกร้องให้เราออกไปจากห้องสี่เหลี่ยมแล้วแสวงหาโอกาสจากคนอื่น ซึ่งภายใต้แนวคิดนี้เราจะได้ยินคำกล่าวอย่างเช่น “จะเก่งมาจากไหนก็ไม่สู้รู้จักใคร” และหากจะกล่าวกันตามตรงแล้ว วัฒนธรรมแบบนี้ได้ฝังรากลึกอยู่ในสังคมของเรามาอย่างช้านานแล้ว อย่างปฏิเสธไม่ได้ กระนั้นก็ตาม จากประสบการณ์ทำให้เห็นว่าการเชื่อในแบบใดแบบหนึ่งจากสองแบบข้างต้นไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือสิ่งที่ถูกต้องอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากแต่ละความเชื่อนั้นมักจะมาพร้อมกับหนทางที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่แตกต่างกันไปด้วย แม้จะไม่ชัดเจนมากแต่ก็มีพอให้หวังได้ มากไปกว่านั้น เราจะได้เห็นว่าผู้คนต่างก็สามารถไปถึงฝั่งฝันได้ภายใต้ความเชื่อแบบใดแบบหนึ่ง แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องต้นทุนทางสังคมและต้นทุนทางเศรษฐกิจบ้างสำหรับแบบหลังนอกจากประเด็นข้างต้น ในที่นี้ผมขอย้อนกลับไปยังคำถามในตอนเกริ่นก่อนที่จะเข้าเนื้อหาว่า “เราได้คาดหวังอะไรมากไปกว่าจากการปั่นจักรยานเป็น การใช้คอมพิวเตอร์เป็น หรือเขียนบทความเป็น หรือไม่?” แม้เราไม่คาดหวัง แต่หากเราลงมือทำสิ่งเหล่านั้นอย่างจริงจัง เราจะพบว่าโอกาสมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นผลจากความพยายามของเรา นั่นคือ สำหรับการปั่นจักรยานเป็น ทำให้เรามองถึงและมีความมั่นใจว่าจะสามารถขับมอเตอร์ไซค์หรือรถยนต์ได้ สำหรับการใช้คอมพิวเตอร์เป็น จะนำมาซึ่งประโยชน์และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของเราอย่างมหาศาล และยังทำเรามั่นใจได้ว่าเราจะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ เช่น การเขียนบทความโดยใช้คอมพิวเตอร์ได้ด้วย มากไปกว่านั้น เมื่อเราเขียนบทความได้แล้ว เราอาจจะนำเนื้อหาของบทความดังกล่าวไปขยายผลต่อไปเป็นสคริปให้กับคลิปวิดีโอ หรือนำไปทำ Podcast ตลอดจนพัฒนาเป็นคอร์สออนไลน์ของตัวเองก็ได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้จะไม่ผิดนักหากเรายังเห็นว่าโอกาสเกิดจากการที่คนอื่นจะหยิบยื่นมาให้ ทว่ามันจะรวดเร็วกว่าหรือไม่หากเราสามารถสร้างโอกาสของเราขึ้นมาเองได้ก่อน และเมื่อยืนบนขาของตนเองได้แล้ว บัดนั้นแม้เราไม่ต้องการให้ใครช่วยแล้ว แต่เราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้ารับความช่วยเหลือจากเขาเหล่านั้นที่ถูกหยิบยื่นมาด้วยความยินดี เราจะไปได้ไกลกว่าเดิมอักโขติดตามผลงานอื่นPodcast 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จ โดย David NivenMy Inspire StoryCreditชื่อหนังสือ: 100 เคล็ดลับยกระดับความสำเร็จผู้เขียน: David Nivenผู้แปล: อิศรา ราชตราชูชื่อเรื่องต้นฉบับ: 100 Simple Secrets of Successful Peopleสำนักพิมพ์ต้นฉบับ: Harper Collins