รีวิวภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด Superman (2025) ซูเปอร์แมน สนุกตื่นตาแค่ว่าไม่ตื่นใจใส่ความบันเทิงมาเต็มเหนี่ยวยังหลุดไม่พ้นวังวนของหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เคยๆเลยยังไม่ประทับใจ (เป็นการส่วนตัว) รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ผู้เขียนอาจไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้อะไรกับหนังซูเปอร์ฮีโร่แต่การที่มีลูกเป็นเด็กชายสองคนที่ตอนนี้ก็โตๆกันแล้วก็เหมือนการบังคับกลายๆว่าต้องดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ และหนึ่งในฮีโร่ที่คนทั่วโลกรู้จักเพราะเอกลักษณ์ของเอกบุรุษเด่นชัดก็คือชายผู้มาจากต่างดาวที่นุ่งกางเกงลิงสีแดงไว้ข้างนอกที่ขอบอกว่าเมื่อก่อนก็ไม่แปลกอะไรชายผู้ที่ใครๆเรียกว่า Superman แล้วในความเป็นคนชอบดูหนังผู้เขียนเองรู้จักซูเปอร์แมนที่โลดแล่นบนแผ่นฟิล์มต้องเรียกว่าอย่างนั้นตั้งแต่เวอร์ชันปี 1978 กับ Christopher Reeve ที่ดูทางม้วนวีดีโอ หลังจากนั้นมาก็ได้ดูมาทุกภาคกับฉบับที่อาจเรียกได้ว่าคลาสสิคแต่ไม่ได้เป็นแฟนฮีโร่บุรุษเหล็กคนนี้อาจเพราะไม่ได้มีความชอบหนังซูเปอร์ฮีโร่มากมายเป็นทุน คือที่ดูเพราะมันคือหนังที่ดูสนุกมากกว่าเพราะหนังแนวนี้จะตั้งใจมาเพื่อบันเทิงจนกระทั่งมาถึงเวอร์ชันปี 2013 ของ Zack Snyder กับ Man of Steel ก็รู้สึกดีมาหน่อยเพราะถึงตอนนั้นจนตอนนี้ผู้เขียนจะถนัดหนังดราม่ามากกว่า จนมาคราวนี้มี Superman มาให้พิสูจน์อีกแล้วส่วนจะเป็นยังไงไปว่ากัน หลังจากหนุ่มต่างดาวผู้มีพลังเหนือมนุษยที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยชาวไร่ในแคนซัสได้ประกาศตัวว่าเป็น Superman (David Corenswet) และได้แทรกแซงสถานการณ์ร้ายๆมาหลายหนจนมาถึงวันที่เขาต้องแพ้เป็นครั้งแรก และนั่นมาจากการที่เขาไปแทรกแซงสงครามในประเทศหนึ่งซึ่งถูกชักใยโดย Lex Luthor (Nicholas Hoult) ที่จงชัง Superman ปานอาจม แล้วการกระทำทั้งไต้ดินและบนดินที่ให้ร้าย Superman จนกลายเป็นจำเลยสังคมเพื่อที่จะส่งตัวร้ายที่ Lex Luthor สร้างขึ้นมาจัดการจน Superman สะบักสะบอมทั้งกายทั้งใจ แต่ในวันที่ร้ายๆอะไรก็ไม่เป็นใจ Superman ยังมี Lois Lane (Rachel Brosnahan) หวานใจที่เชื่อมั่นในตัวเขา และแล้วด้วยเล่ห์เหลี่ยมร้อยเล่มเกวียนของ Lex Luthor ก็ทำให้ Superman กลายเป็นผู้ร้ายทำให้จอมวายร้าย Lex Luthor จับ Superman ไปคุมขังแต่ Lois Lane ที่พบเบาะแสสำคัญของแผนการชั่วของ Lex Luthor ก็เดินหน้าหาตัวช่วยเพื่อช่วย Superman แล้ว Superman จะเอาชนะและกู้ชื่อเสียงกลับมาได้อย่างไร แม้จะยังไม่พ้นวังวนเดิมๆแต่มีบทที่ดีเป็นสารตั้งต้นมีความเป็นตัวเองโดยไม่พูดพล่ามทำเพลงเปิดหน้าท้าดวลกันไปข้าง อาจเพราะปัจจุบันหนังซูเปอร์ฮีโร่ออกมาผ่านตาคนดูมากจนอาจมีคนดูเดาทางได้ไม่เหลืออะไรให้ตื่นใจอีกแล้วและการขึ้นจอโดยใส่กางเกงลิงแดงไว้ข้างนอกอีกครั้งครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ด้วยพล็อตเรื่องที่สามารถเห็นได้ในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่คุ้นเคยไม่มีอะไรตื่นใจเปิดหน้ามาห้านาทีก็รู้แล้วว่าหนังมีทิศทางไปทางไหน ซึ่งมันว่าไม่ได้แต่อย่างน้อยการขึ้นจอครั้งนี้ของบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดของจักรวาล DC ยังมีบทหนังที่ดีเป็นสารตั้งต้น นั่นคือหนังมีที่มาที่ไปมีจุดเชื่อมโยงมีแรงจูงใจที่ชัดไม่ต้องให้มานั่งคิดเพื่อทำความเข้าใจจนอาจเรียกว่าเผยไต๋เปิดหน้าดวลกันไปก็คงใช่ ด้วยการที่ไม่ต้องไปรำลึกถึงที่มาก่อนจะมาเป็น Superman แต่เล่าไปเลยว่าภารกิจครั้งนี้ Superman ต้องเจอกับอะไรสู้กับใครด้วยการเน้นที่ความบันเทิงที่เต็มไปด้วยลายเซ็นของผู้กำกับ James Gunn และนั่นเองที่ทำให้หนังดูมีความเป็นตัวของตัวเองแต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปคิดถึงอะไรที่ผ่านตามา ระดมความมันส์ใส่ความบันเทิงเต็มที่มีแบ่งข้างทางอารมณ์ชัดประมาณพระเอกแสนดีกับนางอิจฉาจอมมารยา แม้จะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่จ๋าๆแบบนอนมาไม่ต้องลุ้นเนื้อหาอะไรแต่เนื้อในจัดว่าตอบโจทย์คนชอบหนังแนวนี้ได้ชะงัด แรกเลยคือการวางตัวละครให้รักจริงเกลียดจริงแบ่งข้างทางความรู้สึกชัดระว่างนายแสนดีกับนางอิจฉาจอมมารยาที่อาจสามารถเห็นในละครหลังข่าว คือพี่ซุปก็แสนดีตัวอิจฉาหัวล้านก็เจ้าเล่ห์จอมมารยาปานนั้นแต่แม้จะเป็นแบบนั้นก็พอเข้าใจได้ว่าต้องการขับเน้นด้วยเรื่องเชิงอารมณ์ และนั่นทำให้ฉากแอ็กชันที่ตื่นตาออกมาพร้อมมีเรื่องอารมณ์เข้ามากำกับความมันส์จึงบังเกิดเพราะคนดูก็เอาใจช่วยบุรุษเหล็กลิงแดงเต็มประตูเพราะมาพร้อมความเห็นใจ แล้วหนังก็ตั้งใจมาทางนี้เต็มที่โดยไม่พุ่งเป้าไปที่ความซีเรียสแม้แต่น้อยแถมหยอดอารมณ์ขันในแบบ James Gunn มาเรื่อยๆซึ่งมันดีที่ทำให้หนังลื่นไหลดูสนุกเพราะโทนหนัง แต่สิ่งที่ต้องแลกคือสิ่งที่ต้องการจะสื่อว่าฉันก็เป็นมนุษย์รักเป็นเจ็บเป็นของ Superman กลายเป็นเบาบางก็ช่างมันเถอะนะ ไม่มีอะไรต้องติกับการรับบทตัวละครที่เป็นไอคอนเพราะหนังมีความเป็นตัวเองจนอาจหากินกันได้อีกยาวๆ ตัวละคร Clark Kent หรือ Superman และวายร้ายเบอร์หนึ่ง Lex Luthor นับเป็นตัวละครระดับคลาสสิคเป็นไอคอนที่ใครๆก็รู้จักยังไม่นับว่าเป็นตัวละครที่คนดูรักและอยู่ในดวงใจคนมากมายมหาศาล แน่นอนมีนักแสดงหลายรายที่เคยรับบทนี้มาแต่ก็น้อยรายที่จะกลายเป็นที่จดจำและสำหรับผู้เขียนคงมี Christopher Reeve กับ Henry Cavill อยู่ในใจและสำหรับรายหลังนั้นเป็นเวอร์ชันที่ต่างไปไม่นับการไม่ใส่ลิงแดง แต่สำหรับการขึ้นจอครั้งนี้ที่เป็นการเปิดหัวจักรวาลใหม่ของ DC ก็นับว่าสำหรับ Superman ของ David Corenswet ยังไม่มีอะไรให้ติแค่ว่ายังไม่ได้เป็นที่จดจำเท่าไหร่แต่ของแบบนี้อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็ไม่ถูกลืม ส่วน Lex Luthor ของ Nicholas Hoult ต่างหากที่เป็นที่จดจำเพราะสามารถขโมยหนังมาไว้ในมือได้เป็นพักๆกับบทตัวร้ายจอมเจ้าเล่ห์ รวมๆแล้วทั้งคู่สามารถหากินได้กับการสวมบทตัวละครไปได้อีกยาวๆตราบใดที่ยังมีออกมา ในความเป็นหนัง Superman นับว่ามีความต่างทางอารมณ์แต่ถ้าว่านี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ยังเป็นวัวเคยขาม้าเคยขี่ที่ดูสนุกแต่ไม่ติดใจอะไร สำหรับคนดูรุ่นผู้เขียนที่เคยผ่านตาความตื่นตาตื่นใจใน Superman (1978) จนดูมาเรื่อยๆก็ยังดูสนุกและเห็นการที่พยายามเดินตามรอยกันมา ส่วนคนที่ได้ดูหรือโตมากับ Man of Steel (2013) อย่างลูกชายคนเล็กของผู้เขียนจะคุ้นกับ Superman ที่มาพร้อมความเป็นมนุษย์มีดราม่าและนั่นก็คือความต่าง แต่สำหรับเวอร์ชันนี้ความเห็นส่วนตัวคือถ้าในความเป็นหนัง Superman มันต่างที่มีอารมณ์ขันกวนๆคันๆหยิบเอาอะไรที่มีในการ์ตูนมาใช้ได้อย่างน่าสนใจและไม่ทิ้งดราม่าที่อาจไม่ได้ขับเน้นลงลึก แต่อย่างน้อยก็พอรู้ว่า Superman รู้สึกยังไงในความเป็นคนที่แตกต่างจากมนุษย์โลกและหนังไม่ต้องการให้มีอารมณ์ดำมืดแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นกลายเป็นว่าถ้าว่ากันที่การเป็นหนัง Superman คือหนัง Superman ที่มีความเป็นตัวเองแต่ถาว่ากันที่ความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ก็ยังเป็นแบบเดิมๆพล็อตเดิมคือสนุกนะแต่ก็แค่ผ่านไปอีกเรื่องหนึ่ง ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 จาก Instagram superman จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !