Short CommentThe Medium : ร่างทรง (2021)เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2564 ผู้เขียนมีภารกิจไปรับวัคซีนโควิดเข็มที่สอง ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด เมื่อเรียบร้อยแล้วไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ จึงตัดสินใจไปดูหนังกับคุณแม่บ้านสองคน ที่ไม่ได้ทำแบบนี้มา ตั้งแต่มีลูกคนแรก (อายุ 24 ปี) และหนังที่เราสองเลือกดูกันเพียงสองเราก็คือหนังเรื่องนี้ ที่คุณแม่บ้าน Request มา นั่นคือ ร่างทรง แล้ววันนี้ หนังมีมาให้ชมอีกครั้งทาง NETFLIX จึงขอลองดูอีกสักรอบ เพื่อเก็บรายละเอียด และอาจได้มุมมองใหม่ๆ ทว่า มันกลับไม่ได้มีอะไรต่างจากเดิมในความรู้สึก ซึ่ง เมื่อดูจบรอบที่สอง เอาความเห็นของผู้เขียนก่อนก็คือ นี่คือหนังที่ต้องใช้ความเข้าใจในสิ่งที่หนังเป็นเพราะนี่คือการสร้างจากเครดิตที่เป็นต้นเรื่องจากเกาหลีของ ชเวชาฮวอน และ นาฮงจิน แน่นอนว่า ถ้าเคยดูหนังสยองขวัญแบบเกาหลีมาพอตัว จะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะเมื่อลองรำลึกถึงหนังอย่าง Svaha : The Sixth Figer (2019) , The 8th Night (2021) , Metamorphosis (2019) หรือกระทั่ง The Wailling (2019) งานของ นาฮงจิน เอง ซึ่งส่วนนี้ ก็ต้องชื่นชมการเขียนบทหนัง ให้ออกมาเป็นไทยแท้ได้อย่างเนียนๆ เพราะหากลองจินตนาการว่าถ้าสร้างเป็นหนังเกาหลี ก็ย่อมได้ และเสียงของคนดูจะไม่แตกเป็นสองขั้วแบบนี้แน่นอนการเสนอตัวเป็นหนังซ้อนหนัง ที่ว่าด้วยเรื่องของทีมงานถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับร่างทรง ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ใดที่หนึ่งในภาคอีสาน ที่อุดมไปด้วยความเชื่อและความศรัทธา ที่ทางเหนือบ้านผู้เขียนก็ไม่ต่างกันนัก หรืออาจเป็นได้ว่า ไม่ว่าจะพื้นที่ใดในประเทศไทย ก็อาจมีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องของความเชื่อ ศรัทธาในสิ่งที่มองไม่เห็นแบบนี้ มันจึงทำให้หนังเข้าถึง ปักเข้ากลางใจผู้ชมตั้งแต่ต้น เพราะมันดูเหมือนกับเรื่องแบบนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ที่บ้านใกล้เรือนเคียงซึ่ง การไม่บอกให้ชัดเจนหรือเจาะจง ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน แรกเลยคือมีความลึกลับให้สัมผัส ทำให้หนังออกเป็นเรื่องสามัญและจับต้องได้ เมื่อการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้เรื่องดูมีน้ำหนัก สมจริง และเชื่อได้ นั่นหมายถึงอารมณ์หลอนขนหัวลุกจะมาเรื่อยๆ ด้วยการเล่าเรื่องผ่านงานด้านภาพ บรรยากาศ สถานที่ แม้กระทั่งภาพมุมกว้าง มุมสูงในหน้าฝน ที่ดูหม่นมืด อึมครึม ชนิดที่คงมีบ้างบางคน ที่เมื่อดูจบกลับไปบ้านแล้วลงมากินน้ำกลางดึกข้างล่างแล้ว ขนลุกซู่เมื่อปิดไฟ กระนั้น เมื่อหนังเล่าได้อย่างมีพลังไปถึงจุดหนึ่ง ก็ดูเหมือนเอื่อยไปบ้าง เมื่อถึงช่วงรอการทำพิธีที่ ก็ดูหลอนดี แต่พอมันนานเกินไปเลยดูเนือยลงจนกระทั่งเมื่อถึงจุดที่พัฒนาไปไกลจากจุดเริ่ม จนกลายเป็นงานสยองขวัญเรียลลิตี้ ที่ถ้าคนเคยดู หรือเกิดทันดู The Blair Witch Project (1999) หรือ Paranormal Activity (2007) ก็จะพอเข้าใจได้ และเห็นว่า กล้องสั่นๆแค่นี้ยังเด็กๆ จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่ทางเลือกกลายเป็นทางแยก แล้วเลือกที่จะบานปลาย จึงต้องแลกมากับความเรียลที่หายไป ทั้งที่เริ่มมาอย่างดีตั้งแต่ต้น ซึ่งถ้าจะว่ากันตามตรง ก็พอเข้าใจได้เพราะหนังก็ได้อธิบายไว้ชัดแล้ว และนั่นคือการต้องใช้ความเข้าใจอย่างที่เอ่ยไว้ข้างต้น แต่กระนั้น หนังก็ยังคงอารมณ์หลอนไปได้ดี ไปจนถึงความระทึกในแบบสยอง ที่ยังคงทำหน้าที่ได้ดี เพราะนี่คือหนังสยองขวัญเพียงแต่ ผู้ชมอาจไม่คาดคิด กระทั่งคิดไม่ถึงว่ามันจะมาเป็นแบบนี้ เลยกลายเป็นในเรื่องของความ จริง ที่ผู้ชมต้องการมันหายไป แล้วกลายมาเป็นลุ้น เอาใจช่วยตัวละครไป แทนที่จะเป็นงานเรียลๆแบบตอนต้น นั่นหมายความว่า ทางเลือกของผู้ชมกับผู้สร้างไม่เหมือนกัน เพราะเชื่อเหลือเกินว่า ผู้ชมมีตอนจบในแบบที่ต้องการอยู่ในหัว และคิดว่าไม่น่าจะผิดไปจากกันมากนัก เพราะในชีวิตผู้ชมชาวไทย จะมากจะน้อยก็เคยเจอเรื่องที่ท้าทายความเชื่อและความศรัทธาแบบนี้ และนั่นได้สร้างภาพตอนจบที่ผู้ชมต้องการในจินตนาการไว้ แต่ เมื่อไม่เป็นดังที่ต้องการ ก็ย่อมต้องมีความเห็นที่ต่างไป ดังเช่นคุณแม่บ้าน ที่บอกออกมาเลยว่า มาเสียเอาตอนท้ายนี่เอง ซึ่ง นั่นก็คือความจริงที่มิอาจปฏิเสธแต่ ไม่ว่าอย่างไรก็คงปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่ดูแปลกไปถ้าว่ากันที่นี่คือหนังไทย ที่ยังทำหน้าที่ได้อย่างเข็มแข็ง เพราะถึงพร้อมเชิงอารมณ์ จะเอาหลอนก็ได้ เอาสยองก็มา จะตุ้งแช่ก็ยังมี หรือจะว่ากันที่เส้นแบ่งของเรื่องความศรัทธากับความงมงายก็ยังมอบให้ และก็คล้ายกับมีกลิ่นเกาหลีอยู่จางๆ ที่ไม่ว่ายังไงต้องมีความหมายแฝง หรือต้องมีดราม่าอยู่ข้างหลังภาพ ซึ่งส่วนดีที่สุดของเรื่องนี้ คงเป็นที่การแสดง ที่เหมือนเป็นคนคนนั้นจริงๆ เล่นเหมือนสบายๆ แต่เอาลึกได้ โดยเฉพาะ ป้านิ่ม ที่ไม่ต่างกับป้าข้างบ้านใครสักคน ประกอบกับความหลอน น่าสงสัย ลึกลับ น่าค้นหา และสยอง ของบท มิงค์ ที่เห็นการทุ่มทั้งวิญญาณเพื่อถ่ายทอดออกมาสรุปคือ ถ้าว่ากันที่ความเห็นส่วนตัวผู้เขียน ขอแยกออกมาเป็นสองอย่าง หนึ่งคือเรื่องอารมณ์และคุณภาพงานสร้าง ที่จัดว่าเยี่ยม แม้จะเอะใจบ้างในเรื่องของสามัญสำนึกของมนุษย์ ทั้งทีมงานถ่ายทำ หรือคนในบ้าน ที่ดูไปก็ยังเอะใจ ส่วนอีกหนึ่งกับเนื้อเรื่องที่พยายามให้มีการพัฒนา พลิกผัน ทำให้กลายเป็นเสียของ เพราะมันเหมือนหลุดทางไปจากที่ควรเป็น แต่ ก็อย่างว่า เมื่อดูก็ต้องใช้ความเข้าใจอย่างสูงว่า นี่คืองานที่เป็นอินเตอร์ ไม่ใช่งานที่จงใจมาขายไทยแท้ๆ ซึ่ง ถ้าเป็นอย่างเราๆคิด ก็อาจขายไม่ได้ หรือเปล่า? ก็คงมีคำตอบที่ไม่ชัดเจนและเมื่อดูจบด้วยความเข้าใจ ว่าจุดเริ่มต้นมาจากเกาหลี และหนังมีเป้าประสงค์ที่จะไปไกลกว่านี้ ก็ต้องบอกว่านี่ไม่ใช่งานที่น่าผิดหวัง เพราะหนังยังเคร่งครัดต่อหน้าที่ของตัวเอง งานด้านบทก็ยังเอาดีได้ และการแสดงอยู่ในระดับยอดเยี่ยม ทำให้ไม่ว่าจะคิดอย่างไร นี่ก็คือหนังที่ต้องดูเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นใด แต่ก็ทำให้นึกไปถึงสำนวนไทยที่ว่า "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา" นั่นคือ ก็ยังเป็นการใช้ประโยชน์ไม้ไผ่ได้ดี แต่มันไม่ใช่ประโยชน์สำหรับคนทุกคน หรือไม่ได้มีผลลัพธ์ออกมาตรงใจทุกคน ก็เท่านั้นดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่3 / ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 จาก Facebook GDHภาพที่ 6 จาก Facebook Netflixจะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !