"อาร์มี แฮมเมอร์" อัปเดตชีวิต 4 ปีหลังถูกแบน เริ่มกลับมามีงานในฮอลลีวูด คิวแน่นจนต้องปฏิเสธ
คำเตือน: บทความนี้มีรายละเอียดเกี่ยวกับเพศและความรุนแรง
นับเป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่ อาร์มี แฮมเมอร์ (Armie Hammer) อดีตนักแสดงหนุ่มที่เคยมีชื่อเสียงจากหนังดัง ‘The Social Network’ (2010), ‘The Man from U.N.C.L.E.’ (2015) และ ‘Call Me By Your Name’ (2017) ต้องถูกฮอลลีวูดแบน หลังเผชิญข้อกล่าวหาหลังมีบุคคลที่อ้างว่าเป็นแฟนเก่า แฉพฤติกรรมและรสนิยมทางเพศที่รุนแรงของเขา ทั้งการใช้ความรุนแรง ล่วงละเมิดทางเพศ รวมทั้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศแบบ BDSM (Bondage, Discipline, Sadism, Masochism) และรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์ (Cannibalism)
แม้เขาเองจะรอดพ้นจากการตั้งข้อหาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ แต่สิ่งนี้ก็นำไปสู่จุดดับในอาชีพของเขาอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่การถูกบริษัทตัวแทน William Morris Endeavor (WME) ยกเลิกสัญญา จนมีข่าวว่าเขาตัดสินใจหลบลี้ผู้คนไปทำงานขายไทม์แชร์ (Timeshare) ที่หมู่เกาะเคย์แมน (Cayman Islands) อันห่างไกล พร้อมกับการออกมาเปิดเผยชีวิตด้านมืดของเขา ทั้งการเคยถูกบาทหลวงล่วงละเมิดทางเพศตอนอายุ 13 ปี และสารภาพว่าเคยนอกใจอดีตภรรยา อลิซาเบธ แชมเบอร์ส (Elizabeth Chambers)
ปีนี้ แฮมเมอร์ที่เปิดเผยว่าปัจจุบันอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์แคบ ๆ ได้มีโอกาสอัปเดตชีวิตของเขากับพอดแคสต์ Your Mom’s House ซึ่งเขาได้เปิดเผยเรื่องราวตั้งแต่การรับมือกับมรสุมข่าวคราวที่โหมกระหน่ำ รสนิยมทางเพศ รวมทั้งความพยายามที่จะกลับมาในฐานะนักแสดงอีกครั้ง
“(ตอนช่วงโรคระบาด) ตอนนั้นโลกเหมือนกำลังจะพังทลายเลยครับ และผู้คนก็ไม่มีความสุขในชีวิตตัวเองมาก ๆ แล้วก็มีเรื่องอื้อฉาวที่บอกว่านักแสดงคนนี้อยากฆ่าคนและกินพวกเขา แล้วทันใดนั้นทุกคนก็แบบว่า ‘เฮ้ย เรื่องนี้มันสนุกกว่าการต้องมานั่งจมอยู่ในห้องนั่งเล่นของตัวเองเยอะเลยนี่หว่า'”
เขายังเล่าถึงความรู้สึกในระหว่างที่กำลังตกอยู่ในมรสุมข่าวอื้อฉาวที่ปรากฏไปทั่ว “ผมคิดว่าผมกำลังตื่นตระหนกมากกว่า เอาจริงนะ มันเหมือนกับว่ามีเกราะกำบังตัวตนของผมจริง ๆ เอาไว้ แต่ทุกคนกลับคิดว่าเกราะนั่นคือตัวผม และมันก็กลายเป็นตัวช่วยปิดบังตัวตนของผมเอาไว้ และเมื่อมันพังทลายลง ทุกคนก็บอกกันว่า ‘ฉันไม่ชอบไอ้หมอนี่แล้ว ฉันเกลียดมัน'”
“ซึ่งมันโหดร้ายมากครับ มันมีบทความใน The Punjabi Times ที่ลงเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเป็นมนุษย์กินคนและอะไรทำนองนั้น ผมคิดว่าในเดือนมีนาคม ปี 2021 ผมน่าจะเป็นคนที่ถูกค้นหามากที่สุดอันดับ 5 ของโลกใน Google และทั้งหมดนั้นมีแต่เรื่องในแง่ลบ มันเหมือนคุณถูกจับแก้ผ้าประจานต่อหน้าคนทั้งโลก และให้ทุกคนคอยตัดสินพฤติกรรมหรือรสนิยมทางเพศของคุณ เป็นอะไรที่แ-่งโคตรแย่เลย”
ในการสัมภาษณ์เดียวกัน เขายังเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ ทั้งการยอมรับว่าเขาเคยใช้ผู้หญิงเพื่อเติมเติมความต้องการของตัวเอง และชอบมัดหญิงสาวในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และเขาเคยซื้อหุ่นลองเสื้อจากห้างสรรพสินค้ามาลองฝีกซ้อม
“คนเหล่านั้นเหมือนกับซองยาที่มีผิวหนังหุ้ม สำหรับผม การมีเซ็กส์กับคนที่อยากมีเซ็กส์กับผม มันทำให้ผมรู้สึกมีอำนาจและได้รับการยอมรับ สิ่งที่ผมทำคือ ผมจะพาสาว ๆ ไปใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงสักเดือนครึ่ง ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ทำทุกอย่างด้วยกัน และมีเซ็กส์ที่ยอดเยี่ยม ทุกอย่างจะออกมาสมบูรณ์แบบ และพอถึงตอนจบ ผมจะบอกว่า ‘พวกเราเข้าขากันได้ดีมากเลย’ และผมก็จะหายไป ไปทำแบบเดียวกันกับคนอื่น ทิ้งให้ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว่าเพิ่งถูกถึงเข้าไปในที่ที่เธอรู้สึกว่านี่คือที่ของฉัน แล้วก็ถูกทิ้งไปเสียดื้อ ๆ “
“ผมชอบความคิดที่ผมสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ผมสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ผมต้องการและคุณก็ชอบด้วย เพราะคุณรู้ว่าคุณเป็นของผม และการได้ครอบครองนั้นมันก็เป็นเรื่องที่สนุกที่จะพูดถึงด้วย โดยเฉพาะตอนที่คุณเมาเพราะเสพยาตอนกลางคืน แล้วก็พูดพลางหัวเราะกับตัวเองว่า ‘ฉันจะตัดนิ้วเท้าของคุณออกแล้วเก็บไว้ในกระเป๋า ฉันจะได้มีชิ้นส่วนของคุณติดตัวไปทุกที่ ฮ่า ๆๆ ‘”
“ซึ่งถ้าใครเอาบทสนทนาในห้องนอนของใคร โดยเฉพาะตอนที่กำลังมีจังหวะเซ็กซี่กัน ไม่ว่าเรื่องมันจะไร้สาระ หรือเป็นเรื่องธรรมดาแค่ไหนก็ตาม และคุณก็อ่านเจอข้อความจากที่อื่นโดยไม่ได้คิดถึงบริบทนั้น ทุกคนก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘พวกคุณนี่น่ารังเกียจสิ้นดี'”
“ผมว่าในจิตใต้สำนึกลึก ๆ ผมอยากถูกจับได้ว่ะ ในหัวผมไม่เคยมีภาพลักษณ์ของตัวเองที่ปรากฏต่อสาธารณะในทำนองแบบ ‘ดูสิ พวกเขา (แฮมเมอร์และภรรยา) พวกเขาเหมือนอย่างกับครอบครัวในโฆษณา Ralph Lauren เลย มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มีบ้านและลูก ๆ ที่สมบูรณ์แบบ’ แต่ผมรู้สึกเหมือนเป็นตัวเอเลี่ยนห่-อะไรสักอย่างที่เดินไปเดินมามากกว่า ผมไม่ได้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ แต่เหมือนเป็นตัวประหลาดอะไรสักอย่าง”
แต่อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีมากนัก และบรรดาข่าวคราวเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของเขา อาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของลูกชายและลูกสาว ที่ได้รับรู้เรื่องราวของพ่อเมื่อเติบโตขึ้น
“ผมรู้ดีว่า พอถึงจุดหนึ่ง ลูกสาวและลูกชายของผมอาจจะต้องเข้ารับการบำบัด แล้วพวกเขาก็จะบอกว่า ‘พวกเราเกลียดพ่อ’ และผมก็จะบอกพวกเขาว่า ‘ให้ตายเถอะ พ่อเองก็กำลังพยายามอยู่นะเว้ย'”