Short CommentBurn the House Down ไฟแค้น ไฟอดีต (2023)งานทวงแค้นสไตล์ญี่ปุ่นที่ไม่เร่งรีบไม่บีบอัดแต่เข้มข้นพลิกผันดูเหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาในแต่ละวันถ้ามีเวลาว่างผู้เขียนจะดูหนังดูละคร (เกาหลี) หรือดูซีรีส์ที่อาจทิ้งน้ำหนักมาทางญี่ปุ่นไปบ้าง แต่หลักๆคือถ้ามีซีรีส์ญี่ปุ่นที่น่าสนใจเข้าใหม่และมาพร้อมกับเวลาบ้างก็จะตัดสินใจดูทันที เช่นกันกับสองสามวันนี้ผู้เขียนพอมีเวลาและมีซีรีส์ญี่ปุ่นที่เป็นงาน NETFLIX Original เข้ามาและเป็นงานที่อยากดูพอดีจึงมีเวลาได้ดูบ้าง แน่นอนว่าเวลาของผู้เขียนอาจไม่ถึงขนาดดูแบบยาวไปในตอนแรกเพราะยังต้องไปทำอย่างอื่นเมื่อจึงดูไปสองตอนก่อนแล้วไปจัดการงานซ่อมบำรุงอุปกรณ์การเกษตรของตัวเอง จนเมื่อถึงเวลาที่โดยปกติช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือช่วงที่งานในสวนค่อนข้างชุกผู้เขียนจะสลบไสลไปตื่นเอาตอนเช้าดูอะไรยาวๆไม่ค่อยรอด ทว่ากับเรื่องนี้เมื่อดูผ่านไปสามตอนแล้วจับจุดได้ว่าบางอย่างอาจไม่ใช่ดั่งโฆษณาหรือการตั้งชื่อไทยที่ก็เข้าใจนะว่าคงไม่มีใครรู้รายละเอียดของเรื่องราวตอนคิดชื่อไทย แต่ผู้เขียนกลับถูกซีรีส์เรื่องนี้ดึงดูดให้ลากยาวจนจบในตอนดึกแบบรวดเดียวอาจเพราะผู้เขียนเองดูซีรีส์ญี่ปุ่นบ่อยเลยคุ้นชินกับสไตล์ แต่แรงดึงดูดคืออะไรมาว่ากันแบบตรงไปตรงมาสไตล์ดูไปบ่นไปที่ดีก็อวยห่วยก็ด่ายามาอุจิ ชิซุกะ (เมอิ นากาโนะ) คือแม่บ้านคนใหม่ที่บริษัทจัดให้มาทำงานในบ้านมิตาราอิที่เธอต้องเอาชนะใจคุณนายของบ้านมิตาราอิ มากิโกะ (เคียวกะ ซูสุกิ) ผู้โด่งดังและร่ำรวย แต่เรื่องก็กลายเป็นว่าเมื่อสิบสามปีก่อนบ้านมิตาราอิเคยเป็นครอบครัวของยามาอุจิ ชิซุกะที่มีชื่อจริงว่ามูราตะ อันซึหรือมิตาราอิ อันซึแต่บ้านถูกไฟไหม้และทุกคนก็โยนความผิดให้เป็นความประมาทเลินเล่อของแม่ของเธอ ทว่าอันซึไม่เคยคิดเช่นนั้นเมื่อเธอเห็นมากิโกะที่ยิ้มอย่างสาแก่ใจเมื่อเห็นบ้านของเธอไฟไหม้และหลังจากที่แม่ของเธอหย่ากับพ่อและป่วยมากิโกะก็กลายเป็นคุณนายคนใหม่ของบ้านมิตาราอิ การเข้ามาทำงานในบ้านมิตาราอิครั้งนี้จึงเป็นการเข้ามาเพื่อหาเบาะแสของคนที่วางเพลิงบ้านของเธอและทำให้แม่ของเธอต้องทนทุกข์จนล้มป่วยและเธอเชื่อว่ามากิโกะคือคนคนนั้น เหตุที่เธอได้พบเบาะแสบางอย่างจากข้าวของของแม่เธอที่ถูกมากิโกะขโมยและการใช้ชีวิตของมากิโกะที่เหมือนเลียนแบบแม่ของเธอและคล้ายกับสวมรอยตัวตน ทว่าตัวแปรในการค้นหาความจริงครั้งนี้อาจอยู่ที่คนที่อยู่ในห้องบนชั้นสองการเล่าเรื่องที่มีสัมผัสความเป็นสากลแต่ญี่ปุ่นก็ยังคงสไตล์ค่อยเป็นค่อยไปไว้อย่างแข็งแรง การการเล่าเรื่องนับหนึ่งไปถึงร้อยโดยย้อนกลับมาเล่ารายละเอียดเบาะแสและการทิ้งท้ายตอนต่อตอนทิ้งเชื้อไฟแบบนี้อาจมีสัมผัสความเป็นอินเตอร์อยู่ในซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องนี้บ้าง กระนั้นญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นญี่ปุ่นที่จะโนสนโนแคร์ชัดเจนว่าจะเรียบเรื่อยค่อยเป็นค่อยไปไม่เร่งไม่บีบไม่อัดเหมือนงานเกาหลีที่คงเทียบกันไม่ได้เพราะสไตล์ที่ต่างกันชัด แต่สไตล์ญี่ปุ่นก็จะดีไปอีกแบบเมื่อการค่อยๆเล่าคือการค่อยๆรับรู้อาจเพราะบทมีเจตนาให้ไฟในใจคนดูค่อยๆลุกลามที่ภาษาวัยรุ่นข้างบ้านเรียกว่า Slow Burn และซีรีส์ญี่ปุ่นมักเป็นเช่นนี้ที่บางทีก็ต้องการความเข้าใจเพราะถ้าคนไม่คุ้นเคยกับการเก็บเล็กผสมน้อยอยู่ดีๆก็ตัดไปเล่าเรื่องอื่นหรือย้อนอดีตก็อาจจะขาดความต่อเนื่อง แต่ด้วยสไตล์แบบนี้กลายเป็นเสน่ห์เพราะนี่คือสไตล์ญี่ปุ่นที่มีรากฐานมากจากการเล่าเรื่องของการ์ตูนหรือมังงะและเรื่องนี้ก็สร้างมาจากมังงะเช่นเดียวกับซีรีส์ญี่ปุ่นอีกหลายเรื่อง ทำให้ต่อให้พยายามเป็นอินเตอร์แต่ DNA ญี่ปุ่นของแข็งแรงจนเป็นอัตลักษณ์บทที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาอาจเพราะเล่าเรื่องของคนธรรมดาแต่ค่อยๆเร้าใจเต็มไปด้วยความพลิกผันจนอึ้งกันไปทั้งบาง จะว่าไปถ้ามองเผินๆงานด้านบทของเรื่องนี้อาจดูไม่ซับซ้อนเหมือนไม่มีชั้นเชิงกระทั่งดูธรรมดาคือการไปค้นหาความจริงในอดีตที่เป็นรอยแค้นฝังใจโดยไม่มีการเตรียมการหรือวางแผนอะไรไว้ แต่นั่นอาจเพราะนี่คือเรื่องของคนธรรมดาที่มีจุดมุ่งหมายที่ไม่ได้เอากันให้ถึงตายแต่มีแรงจูงใจที่แตกต่าง แต่ด้วยความธรรมดานี่เองที่ทำให้เรื่องมีความเร้าใจที่ค่อยทวีเพราะคนดูไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาเป็นตัวแปรให้พลิกผันตรงไหน เพราะความที่ตัวเอกไม่ใช่คนเก่งกาจหรือเหลี่ยมจัดการค้นหาความจริงจึงว่ากันตรงไปตรงมาแล้วส่วนที่พลิกผันที่เข้ามาบนความธรรมดาก็คือความพลิกผันทางหัวใจเมื่อไม่เป็นอย่างที่คิดหรือเรียกว่าโดนหักหลัง กระนั้นความเร้าใจก็คือแบบนี้ที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยเพราะนี่คือการเอาสถานการณ์เข้าว่าเอาข้างหน้าเป็นไปแม้คนดูตั้งธงไปแล้วว่าเรื่องจะต้องเป็นอย่างที่คิด ทว่าความธรรมดาที่เห็นกลายเป็นขุดบ่อล่อปลาที่ความสงสัยจะพาไปยังบทสรุปที่... ต้องไปดูเองเมื่อเป็นงานที่สร้างจากมังงะก็เลยมีความเป็นมังงะอยู่เป็นส่วนมากทำให้เมื่อถึงบทสรุปสุดท้ายกลายเป็นแรงจูงใจไม่เชื่อมกัน แต่แม้จะเป็นความไม่ธรรมดาบนความธรรมดาก็ใช่ว่าจะไม่มีอะไรให้ติ ซึ่งในส่วนของความเชื่อมโยงเหตุการณ์ที่เป็นสารตั้งต้นของความเข้มข้นเร้าใจนั้นจัดว่าทำได้ดีพอตัวด้วยความที่เจตาของเรื่องไม่ใช่การทวงแค้นแต่เป็นการค้นหาความจริงเพื่อปลดปล่อยส่วนเรื่องความแค้นคือเป้าหมายหลังเป้าหมาย และการสะสางไม่ได้จะเอากันให้ถึงตายแต่คือการเผาให้มอดไหม้ไปถึงจิตวิญญาณที่ล่มสลาย แต่น่าเสียดายที่เจตนาที่ชัดขนาดนี้กลับมีอาการโลกสวยเข้ามาในตอนท้ายซึ่งจะว่าไปก็ตามสไตล์งานสร้างจากการ์ตูนมังงะที่มักชัดเจนที่จะให้บทเรียนกับตัวละครเพื่อเปลี่ยนแปลงให้กระทบกับคนดู ทำให้เมื่อถึงตอนที่เรื่องราวคลี่คลายแรงจูงใจที่เป็นมาทั้งหมดในเวลาที่ผ่านมาที่ส่งผลต่ออารมณ์คนดูกลายเป็นไม่เชื่อมกันเพราะการพยายามโลกสวยหรือหาช่องว่างทางความเห็นใจกลายเป็นแม่พระกันไปหมด ทำให้ครึ่งตอนสุดท้ายกลายเป็นเหยียบย่ำทำลายอารมณ์ที่ถูกขับส่งมาตลอดเวลาจนแทบสิ้นการแสดงที่มีเสน่ห์และตั้งใจผลักคนดูให้เลือกข้างอย่างได้ผล สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมคือเสน่ห์และพลังดาราของเมอิ นากาโนะที่น่ามองกระทั่งสายตาคนดูจับจ้องเธอในชุดแม่บ้านอย่างไม่ลดละ กระนั้นในความซับซ้อนของตัวละครกลับไม่สูงความพลิกผันของตัวละครน้อยหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นตัวละครหน้าเดียวที่ไม่มีมิติเชิงลึก แต่การแสดงของเมอิ นากาโนะยังคงพาคนดูไปได้ด้วยเสน่ห์อย่างที่ว่าและแสดงให้เห็นว่านี่คือคนธรรมดาจริงๆที่คิดเหมือนคนธรรมดาไม่ซับซ้อนเจ้าเล่ห์ เช่นเดียวกับคู่ต่อกรหลักเคียวกะ ซูสุกิที่บทส่งเหลือหลายในการผลักอารมณ์คนดูให้เลือกที่รักมักที่ชังเพราะไม่มีทางที่คนดูจะไม่รังเกียจในพฤติกรรมและเกลียดในความเป็นมากิโกะ แน่นอนเมื่อบทส่งตัวร้ายมากกว่าก็ทำให้ตัวร้ายดูเด่นกว่าอย่างช่วยไม่ได้ทว่าเมื่อถึงเวลาเผชิญหน้ากันเมอิ นากาโนะก็เก๋าพอที่จะฟาดได้อย่างสูสี ที่ต้องไม่ลืมคือยูริ สึเนมัตสึหรือน้องนักธนูใน Alice in Borderland 2 และนางเอกหนังผู้ใหญ่ใน The Naked Director 2 ที่แสดงได้อย่างดูดีแม้จะมีความเป็นการ์ตูนอยู่เต็มที่ก็ตาม ส่วนพวกผู้ชายกลายเป็นแค่ดอกไม้ริมทางอาจต้องเข้าใจสไตล์ที่เมื่อจับใจความได้หรือผ่านช่วงปูไปได้จะทวีความเข้มข้นไปจนสุดทาง เพราะถ้าคุ้นชิ้นกับความหวือหวาแทรกดราม่าได้เมื่อมีช่องให้ขยี้จะผ่านช่วงปูที่ให้จับใจความไปยากนิดหน่อย เพราะเอาจริงบทของเรื่องนี้มีช่องมากมายให้ขยี้ดราม่าบีบบี้หัวใจหรือหรือจะให้ชิงชังรังเกียจกว่านี้แต่ด้วยความที่สไตล์ของญี่ปุ่นจะเป็นแบบนี้จึงไม่ต่างจากเครื่องซักผ้าที่ใช้ช่วงเวลาอย่างสม่ำเสมอ เอาที่ชัดเลยคือเรื่องของความรักระหว่างพี่น้องของอันซึกับยูซึที่ถ้าจะขยี้ก็มีตายไปข้างแต่เลือกให้แค่สัมผัสได้ ส่วนการผลักคนดูให้รังเกียจอีกฝ่ายก็เลือกจะไม่บีบจนอึดอัด แล้วเมื่อชิ้นส่วนสำคัญต่างๆมาครบก็ได้เวลาเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเพราะเรื่องจะทวีความเข้มข้นเร้าใจไปจนถึงครึ่งของตอนสุดท้าย ก่อนที่จะถูกย่อยสลายด้วยความโลกสวยอย่างน่าเสียดายและเอาจริงไม่เอาใจคือเรื่องความรักนั้นเบาบางจนจับสัมผัสไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่คงมั่นในสไตล์ดูได้อย่างสนุกตามสมควรเพียงแต่ยังมีอะไรให้ติอยู่มากมาย ซึ่งถ้าว่ากันที่ความน่าติดตามและบทสรุปที่เป็นก็คืองานที่ไม่เสียเวลาดูแน่นอนดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3 / ภาพที่ 4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixjpเกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!ถ้าคุณชอบซีรีส์ญี่ปุ่น คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/lZe8wWno9q7Ghttps://entertainment.trueid.net/detail/VPx1aVrk9ygZhttps://entertainment.trueid.net/detail/8M3kOq90OKJMhttps://entertainment.trueid.net/detail/NMLQL1LEBRkj