Short CommentJung_E จอง_อี (2023)เลือกใช้ความจับใจพาไปสู่ความเร้าใจทำให้เป็นความเร้าใจที่มีหัวใจเมื่อไม่นานมานี้วงการบันเทิงเกาหลีที่ได้รับการสนับสนุนจาก NETFLIX ให้สร้างงาน Original ออกมาได้ทำให้ดูไปบ่นไปเห็นพัฒนาการอย่างชัดขึ้น เพราะงานอย่าง Space Sweepers หรือ The Silent Sea ที่เป็นการท่องอวกาศของเกาหลีที่ออกมาที่เป็นงานที่อาจดูแปลกใหม่สำหรับผู้สร้างเกาหลี แต่ทางตะวันตกนั้นได้เล่ากันมาจนปรุไปหมดจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีสัมผัสหรือมองเห็นแรงบันดาลใจจากงานทางตะวันตกชัดอยู่ในงานนั้นๆ กระนั้นก็นับว่าเป็นความกล้าที่จะเสี่ยงเพราะเกาหลีมีวัตถุดิบชั้นดีคือนักแสดงที่มาตรฐานการแสดงสูงพอรับผิดชอบบทยากๆ และมีคนออกแบบหน้าตาอาหารคือคนเขียนบทที่สามารถสร้างความใหม่ในความเก่าด้วยการแทรกรายละเอียดและบริบททางเกาหลีเข้าไป ทำให้ในงานที่ผ่านมาอาจมีบ้างที่มองเห็นความเป็นตะวันตกแต่ก็มีความเป็นเกาหลีอยู่อย่างเข้มจัดและคนดูก็ดูได้อย่างสนุกเพียงแค่บางอย่างอาจไม่สมบูรณ์เพราะยังใหม่ในแนว กระนั้นเมื่อถึงเวลาเกาหลีก็ท้าทายตัวเองด้วยความทะเยอทะยานอีกครั้งด้วยการสร้างงานที่ใช้งานทางเทคนิคด้านภาพมาขายโดยใส่หัวใจในแบบเกาหลีเข้าไปกับเรื่องนี้ในอนาคตที่ไม่ไกลโลกไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยได้มนุษย์จึงออกไปสร้างอาณานิคมในอวกาศ แต่มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์สิ่งที่คุกคามมนุษย์ก็คือความเป็นมนุษย์สงครามจึงตามมาการสู้รบกันจึงต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี กระทั่งมีอาณานิคมหนึ่งซึ่งพูดภาษาเกาหลีกำลังพยายามพัฒนา AI นักรบโดยใส่สมองที่โคลนมาจากสุดยอดทหารรับจ้างนามว่ายุนจองอี (คิมฮยอนจู) โดยโครงการนี้ได้ชื่อว่าจองอีที่ดูแลโดยหัวหน้าทีมยุนซอฮยอน (คังซูยอน) และผู้อำนวยการคิมซังฮุน (รยูคยองซู) กำลังจะถึงทางตันเมื่อการวิจัยก็ยังไม่พบทางออกว่าหุ่นยนต์ที่มีสมองของคนมีความรู้สึกเหมือนคนจะสามารถเอาชนะศึกได้ และในที่สุดโครงการจองอีก็กำลังจะถูกปิดตัวลงเพราะสงครามกำลังจะสิ้นสุดและหุ่นจองอีทั้งหลายก็กำลังจะถูกใช้ไปในวัตถุประสงค์อื่น ว่าแล้วในวันสุดท้ายของโครงการยุนซอฮยอนจึงตัดสินใจลบความทรงจำหุ่นจองอีตัวอื่นเหลือเพียงหนึ่งตัวที่เธอกำลังจะปลดประจำการและปลดปล่อยมันให้เป็นอิสระ แต่มีหรือที่คิมซังฮุนจะยอมการต่อสู้ที่ดุเดือดจึงมาถึงแต่ทำไมยุนซอฮยอนจึงตัดสินใจแบบนั้นคำตอบมีในหนังเลือกใช้ความจับใจมาดึงหัวใจคนดูเพื่อไปสู่ความเร้าใจทำให้เป็นงานที่มีหัวใจ สำหรับหนังเรื่องนี้เมื่อดูจบทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงหนังสองเรื่องคือ I, Robot (2004) และ Chappie (2015) ที่ว่าด้วยเรื่องของการโคลนสมองกับเรื่องของ AI ที่คิดเองได้และต้องการปลดปล่อยตัวเองสู่อิสรภาพจากมนุษย์ จึงเห็นส่วนผสมกันของสองเรื่องนั้นโดยมีความเป็นเกาหลีที่ต้องมีดราม่ามาเป็นตัวประสานในเรื่องของผู้เสียสละและชะตากรรมของลูกกับแม่ท้าทายหัวใจและมโนสำนึก ดังนั้นเมื่อมีเรื่องให้เล่าหนังจึงเล่าด้วยความพยายามจับใจคนดูก่อนเพื่อให้คนดูรู้สึกเห็นใจตัวละครซึ่งในที่นี้คือจองอีและซอฮยอนสองแม่ลูก แต่บทกลับไม่สามารถลงลึกได้พอเพราะเวลาน้อยไปในการจะเล่ามิติแบบนี้ให้ทะลุคนดูจึงรู้สึกได้แค่ว่ามีอะไรมาสะกิดใจแต่ไม่รู้สึกลึกซึ้ง กระนั้นเท่าที่เป็นก็สามารถทำให้มองเห็นแรงจูงใจและเจตนาที่พาไปสู่ความเร้าใจในตอนท้ายที่คนดูจะลุ้นและเอาใจช่วยให้เอาชนะและผ่านไปได้เพราะแม้อาจไม่ปักทะลุหัวใจคนดูก็สัมผัสได้ทางความรู้สึก จึงกลายเป็นจับใจได้ไม่แน่นแต่ก็มีพลังพอให้กลายเป็นงานแอ็กชันไซไฟที่มีหัวใจแต่เมื่อเลือกท้าทายหัวใจจึงมีราคาที่ต้องจ่ายเพราะเหมือนกับความเร้าใจและความบันเทิงเป็นเรื่องรอง แน่นอนเมื่อหน้าหนังออกมาเป็นงานแอ็กชันไซไฟโลกอนาคตหลังโลกล่มสลายสิ่งที่ตามมาคือความคาดหวังของคนดูที่ต้องการเห็นงานแอ็กชันที่ดุเดือดดุดันไม่เกรงใจใคร ทว่าบทหนังกลับพยายามท้าทายหัวใจคนดูด้วยการเป็นงานแอ็กชันไซไฟที่มีหัวใจและความจริงถ้าว่ากันที่เจตนานั้นก็ถือว่าทำได้ดีแล้ว แต่จุดเริ่มต้นคนดูไม่ได้มาเพื่อเสพดราม่าเพราะหน้าหนังก็มองไม่เป็นดราม่าสิ่งที่ต้องแลกคือทางแยกในใจคนดูเพราะเมื่อคนดูตั้งใจมาดูความดุเดือดเร้าใจแต่ต้องมาเจอความพยายามจับใจ นั่นก็คือได้ตามวัตถุประสงค์ของบทหนังแต่ผิดเป้าประสงค์ของคนดูเพราะเชื่อว่าคนดูทุกคนต้องการความบันเทิงมากกว่าดราม่า ยิ่งหนังเปิดหัวมาอย่างดุเดือดแต่หนังเกลับใช้เวลาช่วงกลางไปทางความจับใจเพื่อพาไปยังความเร้าใจในตอนท้ายทำให้เหมือนกลายเป็นไม่ได้ดังใจคนดูเพราะหนังเลือกมีหัวใจเป็นหลัก จนทำให้ความบันเทิงความระทึกเร้าใจเป็นรองจึงเป็นราคาที่ต้องจ่ายแน่นอนเพราะคนดูจะไม่ได้ในสิ่งที่หวังเต็มร้อยชัดเจนในการมาขายงานทางด้านเทคนิคด้านภาพและก็ออกมาเนียนตาในระดับที่น่าพอใจ จะว่าไปหนังเรื่องนี้ก็เหมือนเป็นความท้าทายและแสดงออกถึงความทะเยอทะยานของคนทำหนังและทีมงานวิชวลเอฟเฟกต์ของเกาหลีเช่นกัน เมื่องานด้านภาพกว่าร้อยละแปดสิบเป็นงานด้านเทคนิคแน่นอนในฉากภาพมุมกว้างและฉากการต่อสู้ระหว่างจองอีกับหุ่นยนต์ ซึ่งภาพที่ออกมาถ้าว่ากันที่นี่คืองานที่ส่งตรงลงสตรีมมิ่งก็คืองานที่มีภาพที่เป็นงานซีจีที่เนียนตาเพียงแต่ยังมีบ้างที่เห็นว่าลอยในบางจุดแต่ถ้ามองในภาพรวมของหนังทั้งเรื่องยังดูไม่ออกว่าอันไหนของจริงอันไหนคืองานทางเทคนิค ซึ่งถ้าได้ดูงานจากเกาหลีมาอย่างต่อเนื่องก็จะพอทราบว่าทางนี้ไม่ค่อยเน้นเรื่องเทคนิคมากแต่เน้นทางบทแต่เรื่องนี้กลับตั้งท่ามาขายงานทางเทคนิคเต็มที่ จึงเห็นเป็นพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดเพราะปกติก็จะเห็นบ้างเป็นองค์ประกอบไม่ใช่มาทั้งเรื่องมาทุกด้านแบบนี้ และที่สำคัญออกมาในระดับที่น่าพอใจเพราะภาพส่งอารมณ์คนดูได้มีฉากแอ็กชันที่ลื่นไหลมองแทบไม่ออก จึงนับว่าถ้ามาเพื่อขายงานทางเทคนิคเรื่องนี้ก็เอาดีได้กับการแสดงที่เล่นไม่กี่คนแต่จัดการได้ในเจตนาที่จะมาจับใจได้แค่บทไม่ได้ไปไกลเท่าไหร่เท่านั้น สิ่งที่น่าเสียดายคือบทหนังไม่เจาะใจมากกว่านี้เพราะได้นักแสดงฝีมือดีอย่างคังซูยอนผู้ล่วงลับมาประกบกับคิมฮยอนจู ซึ่งความจริงบทเทไปทางคังซูยอนมากกว่าเพราะเป็นตัวเดินเรื่องและเป็นหัวใจของเรื่องซึ่งเธอก็รับผิดชอบได้ดีถ้าว่ากันที่ปูมหลังที่หนังบอกไว้ ส่วนคิมฮยอนจูแทบไม่ต้องทำอะไรเพราะบทที่ได้เป็นหุ่นยนต์ AI แต่ก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเพราะยังมีสมองที่โคลนมาจากมนุษย์ ที่น่าเสียดายคือหนังไม่พยายามเจาะใจคนดูให้ได้อาจเพราะรู้ตัวว่าถ้าพยายามมากกว่านี้หนังจะยาวกว่านี้และอาจมีช่วงเนือยเอื่อยเพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังแอ็กชันที่ดันกลายมาเป็นหนังดราม่าไปเสียได้ นั่นคือบทไม่ได้ไปไกลคือเอาเท่าที่เล่าได้กุมหัวใจได้แต่ไม่บีบเพื่อที่จะพาคนดูไปสู่ความเร้าใจที่มีที่ไปที่มา ส่วนตัวร้ายของรยูคยองซูนั้นแคโผล่หน้ามาก็รู้แล้วว่าเป็นตัวร้ายแน่นอนซึ่งเอาจริงๆก็มีแค่สามคนนี้มีเป็นผู้เล่นหลักเพราะคนอื่นๆแค่ไม่ประดับเท่านั้นแต่ที่น่าทึ่งคือเล่นกันเท่านี้แต่หนังกลับมีเส้นเนื้อมีลูกชิ้นไม่ได้มีแต่น้ำซุปกับความรู้สึกส่วนตัวออกมาสองทางทั้งผิดหวังและชอบไปในตัว ถ้าว่ากันที่ความเห็นส่วนตัวเรื่องนี้ผู้เขียนก็ไม่ต่างจากคนดูทุกคนกระมังที่เห็นหน้าหนังแล้วคิดว่าได้รับความมันส์บันเทิงแน่นอนแต่ดันมาเจอหนังดราม่าเข้าให้ ทำให้ถ้ามองมุมนี้เรื่องนี้เป็นความผิดหวังแต่ถ้ามองอย่างเป็นธรรมโดยตัดเอาความคาดหวังที่จุดเริ่มต้นออกไปนี่คือหนังที่น่าพอใจและอยู่ในระดับที่ชอบ เพราะหนังยังมีความบันเทิงที่พึงมีแม้จะไม่มากเท่าที่ต้องการแต่ก็มีแถมยังมีเรื่องของความเป็นมนุษย์ที่ถูกลดทอนลงโดยเทคโนโลยีกับเรื่องสมองและจิตใจ ยิ่งหนังบอกความในใจออกมาว่าเรื่องนี้คือความคิดความผูกพันระหว่างลูกกับแม่ที่แค่เอื้อมและเห็นหน้าแต่ว่าไม่อาจได้รับไออุ่น แน่นอนถ้าจะคิดก็อุดมไปด้วยประเด็นทางสังคมมากมายเขียนไปสามหน้ากระดาษก็ไม่จบเอาเป็นว่าหนังไม่ได้เป็นความบันเทิงที่กลวง เพราะเกาหลีก็ยังคงเป็นเกาหลีที่แม้จะมาในงานไซไฟขายเทคนิคยังไม่ลืมหัวใจทำให้เมื่อไปถึงจุดที่ต้องการคนดูก็เร้าใจสุดขั้วที่มาพร้อมกับอาการลุ้นเพราะทุกอย่างมีเหตุผลของมัน เพียงแต่เมื่อเริ่มต้นไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ก็เท่านั้นดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixkr ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้ความเห็นหลังชม BLACK CRAB (2022) ความไม่รู้ทำให้เร้าใจ ความสงสัยทำให้น่าติดตามอย่างสนุกรีวิวจัดเต็ม Space Sweepers ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล (2021) อีกหนึ่งงานของ "คิมแทรี" ที่เป็นความเก่าเล่าใหม่แต่ไปสุดที่ความบันเทิงความเห็นหลังชม Warriors of Future นักรบแห่งอนาคต (2022) สนุกตื่นเต้นเร้าใจในความโบราณตามสูตรที่ได้พลังดาราพาไปจนแทบลืมหายใจคอมมูนิตี้โลกคนรักหนัง ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน