หนังสือหมวดจิตวิทยาและการพัฒนาตัวเอง ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังใจในการก้าวต่อไปในชีวิต มีคุณค่าต่อหัวใจที่กำลังอ่อนไหวได้อย่างดีในเวลาที่หม่นเศร้าชีวิตก็ยังเป็นของเรา เขียนโดย คิมรันโด แปล วิทิยา จันทร์พันธ์ เป็นหนังสือฮาวทูจากเกาหลี ที่แปลเป็นฉบับไทยแล้วเข้ากับชีวิตดีเหลือเกิน เป็นบทความขนาดสั้นรวมกัน 28 บทความ (รวมบทส่งท้าย) แบ่งเป็น 3 บทใหญ่ (ภาพโดย Majung)คำโปรย : ชีวิตก็เหมือนกับการวิ่งแข่ง แม้ว่าเราจำเป็นต้องใช้เงิน ทว่าสิ่งที่ทำให้เราออกตัววิ่งไปไม่ใช่เงินมากมายในกระเป๋า แต่เป็นความฝันที่ลุกโชน พลังที่จะทำให้ชีวิตวิ่งไปได้จนสุดทางไม่ใช่ความโชคดีที่ถูกเสกขึ้นมา แต่เป็นตัวเราที่พร้อมเผชิญหน้ากับความล้มเหลว หนังสือ "ในเวลาที่หม่นเศร้า ชีวิตก็ยังเป็นของเรา" เล่มนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ให้ความหวังและเสริมสร้างแรงใจ เพื่อให้ยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตต่อไป เนื้อหาภายในเล่มจะทำให้คุณย้อนกลับไปพิจารณาทุกซอกมุมของจิตใจและชีวิตประจำวันของตัวเอง จนในที่สุดจะค้นพบว่า ชีวิตคือการดำรงอยู่เพื่อเอาชนะความสิ้นหวัง หดหู่ ความโกรธเกรี้ยวที่ลุกโชนขึ้นอย่างไม่มีวันสิ้นสุด(ภาพโดย Majung)เริ่มพาร์ทแรกด้วยเรื่อง "ถึงอย่างนั้นคืนวันก็ยังสุกสว่าง" แบ่งบทย่อย ๆ ออกไปอีก ซึ่งจะเล่าถึงข้อคิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของคิมรันโด เขาเล่าด้วยบุรุษที่หนึ่ง คือใช้ตัวเองดำเนินเรื่อง ก็จะเล่าถึงชีวิตที่ผ่านมา คนแวดล้อม เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งแต่ละบทก็จะมีบทเรียนสอนใจอยู่เสมอ เช่น "เพียงทำใจยอมรับว่าชีวิตธรรมดา ๆ ก็มีความสุขได้ เราก็จะรู้สึกว่าตัวเอง ไม่ได้โชคร้าย" หรือ "ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะผ่านพ้นไปเพียงลำพัง กระนั้นมันก็ทำให้เราคุ้นชินกับเสียงภายใน และความกังวลของตัวเราเอง" เป็นต้น"เพียงทำใจยอมรับว่าชีวิตธรรมดา ๆ ก็มีความสุขได้ เราก็จะรู้สึกว่าตัวเอง ไม่ได้โชคร้าย"สำหรับพาร์ทสอง "ช่วงเวลาสรรค์สร้างตัวเราขึ้นมา"ใช้วิธีการเล่าเหมือนบทแรก แต่จะเน้นไปที่การสร้างสิ่งที่เป็นตัวเราขึ้น แต่ละบทยกตัวอย่างคนรอบตัวของคิมรันโด และมีข้อคิดสอดแทรกอยู่เช่นเดิม เช่น "การอดทนกับเวลาที่แสนเบื่อหน่าย ราวกับถูกสิ่งถูกสาปให้หยุดชะงักนั้นทรมานนัก แต่ถ้าผ่านไปได้ก็จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์" หรือ "หากอ่านหนังสือแล้วพบข้อความเตือนใจ เราอาจขีดเส้นใต้เน้นย้ำไว้ ทว่าในยามที่เราทำความผิด หลายครั้งที่สำนึกได้ แต่กลับไม่ยอมขีดเส้ใต้ไว้คอยย้ำเตือนตัวเอง" เป็นต้นส่วนพาร์ทสาม เล่าเรื่อง "ความมุ่งมั่นที่แรงกล้าจะฉุดรั้งเราขึ้นมา" เป็นบทสุดท้ายที่กล่าวถึงชีวิตที่มีคุณค่า ให้เรารู้จักคุณค่าของชีวิตตัวเองแม้จะพบเจอกับความโชคร้ายนานาก็ตาม โดยวิธีการเล่าก็เป็นเช่นเดิม คือเล่าถึงตัวอย่างและคนรอบตัวของคิมรันโด และมีคติสอนทิ้งไว้ในทุกบท เช่น "ต่อให้เป็นหนังสือเล่มเดียวกัน การได้อ่านในวัยเยาว์ที่อ่อนไหวและเปราะบาง เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น กับวัยกลางคนที่เปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะ ย่อมไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน" หรือ "ในช่วงเวลานี้ งานที่สำคัญและเร่งรีบคืออะไร กำลังทำมันอยู่ เลื่อนมันออกไป หรือว่ากำลังหลีกเลี่ยงไปทำงานที่สำคัญน้อยกว่าเพื่อปลอบโยนตัวเอง" เป็นต้น "ในช่วงเวลานี้ งานที่สำคัญและเร่งรีบคืออะไร กำลังทำมันอยู่ เลื่อนมันออกไป หรือว่ากำลังหลีกเลี่ยงไปทำงานที่สำคัญน้อยกว่าเพื่อปลอบโยนตัวเอง" เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจถึงชีวิตมากขึ้น แม้ชีวิตจริงจะไม่ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเท่านักเขียน แต่เชื่อว่าแต่ละคนก็มีความทุกข์ ความสุข ความหม่น ความสำราญของชีวิตแตกต่างกัน แต่เมื่อใดที่เราเศร้าก็ใช่ว่าชีวิตนี้จะไม่มีความสุขอีกต่อไป เพราะเมื่อเกิดช่วงเวลาหม่นเศร้า ก็ยังมีชีวิตที่ยังเป็นของเรา หากเราไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ก็คงไม่มีใครจะมอบความรักความเข้าใจให้ได้หรอก(ภาพโดย Majung)สำหรับ ในเวลาที่หม่นเศร้าชีวิตก็ยังเป็นของเรา ของคิมรันโด เล่มนี้ แม้จะมีเสียงตอบรับว่าไม่ดีเท่ากับ เพราะวัยรุ่นจึงเจ็บปวด หนังสือของนักเขียนคนเดียวกันที่ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด และเป็นหนังสือขายดีอย่างต่อเนื่อง แต่ในเวลาที่หม่นเศร้าชีวิตก็ยังเป็นของเรา ก็มีความดีในแบบของตัวเอง ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังใจเพื่อใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไป ๆ