ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยเปิดดู ผ่าพิภพไททัน (Attack on Titan) แล้วรู้สึกว่า “โอเค มันก็คืออนิเมะแอ็กชันเอาตัวรอดจากยักษ์กินคนสินะ” แล้วก็ปิดไปเพราะยังไม่อิน ผมอยากชวนคุณกลับมาดูใหม่อีกรอบแบบใจเย็น ๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่ไททันกระทืบบ้านหรือฉากต่อสู้ดุเดือด แต่ข้างในมันซ่อนอะไรไว้ลึกกว่านั้นเยอะมาก รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! สำหรับผม ผ่าพิภพไททันเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่รู้สึกว่า “มันโตไปพร้อมกับคนดู” เริ่มจากเรื่องราวแสนจะเรียบง่าย เด็กคนหนึ่งอยากแก้แค้นเพราะแม่ถูกยักษ์กิน แต่ยิ่งดูไปเรื่อย ๆ กลับกลายเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อน ลึก และหม่นยิ่งกว่าที่คิดไว้ตั้งแต่แรกเยอะมาก แบบที่บางทีพอดูจบแต่ละตอนแล้วก็ต้องนั่งนิ่ง ๆ ทำใจก่อนค่อยไปทำอย่างอื่นต่อ สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Attack on Titan สำหรับผม ไม่ใช่ฉากแอ็กชันอลังการ หรือไททันหน้าหลอน ๆ แต่คือการ “เล่าเรื่อง” ที่กล้าเปิดโปงด้านมืดของมนุษย์ โดยไม่ต้องใช้ตัวร้ายแบบการ์ตูนสมัยก่อนที่มองก็รู้ว่าใครผิดใครถูก ที่นี่ ตัวละครหลัก ๆ แทบทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านที่เราอาจไม่อยากยอมรับ บางครั้งเขาอาจจะทำในสิ่งที่คุณเห็นแล้วไม่เห็นด้วยเลย แต่พอฟังเหตุผลของเขา กลับรู้สึกว่า “เฮ้ย ก็เข้าใจเขานะ” เรื่องนี้ใช้เวลาไม่รีบ ไม่เร่งที่จะเล่าทุกอย่าง มันค่อย ๆ คลี่เรื่องราวผ่านสายตาของตัวละครให้เราเข้าใจโลกที่พวกเขาอยู่ เราเลยได้เห็นว่าการที่มนุษย์จะต้องอาศัยอยู่หลัง “กำแพง” ไม่ใช่แค่เรื่องการป้องกัน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความกลัว ความไม่รู้ และการพยายามควบคุมความจริงบางอย่างให้อยู่ภายใต้ฝาแฝงของ “ความสงบ” ในฐานะคนดู ผมรู้สึกว่า Attack on Titan ไม่ได้แค่เล่าถึงสงครามระหว่างมนุษย์กับไททัน แต่มันกำลังเล่าถึง “การต่อสู้กับความเชื่อของตัวเอง” และมันก็ค่อย ๆ ปล่อยระเบิดชุดใหญ่ทีละดอก ให้เรารู้ว่าความจริงที่เห็นอาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มันมีการหักมุมหลายชั้น แบบที่บางตอนผมต้องย้อนกลับไปดูซ้ำอีกรอบเพื่อเช็กว่า “นี่เราพลาดอะไรไปหรือเปล่า” แถมตัวละครในเรื่องก็มีมิติ ไม่ได้แบนหรือพูดแต่คำเท่ ๆ เพื่อโชว์ความเท่เฉย ๆ ตัวเอกอย่างเอเรนไม่ใช่พระเอกสายบวกอย่างเดียว แต่เป็นตัวละครที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ตามความจริงที่เขาเจอ เช่นเดียวกับมิคาสะ อาร์มิน หรือแม้แต่ตัวประกอบบางคนก็ยังมีความเป็น “คน” ที่สมจริงแบบไม่น่าเชื่อ อีกอย่างที่ผมว่าหลายคนอาจไม่ค่อยพูดถึง แต่รู้สึกว่ามันสำคัญ คือดนตรีประกอบของเรื่องนี้ครับ เพลงธีมหลักที่เปิดในแต่ละซีซัน หรือแม้แต่เพลงในฉากสำคัญ มันถูกใส่มาแบบพอดีไม่มากไปไม่น้อยไป และช่วยยกระดับอารมณ์ของแต่ละฉากให้หนักขึ้นไปอีกหลายเท่า แบบบางซีนดูแล้วรู้สึกขนลุกเลยจริง ๆ ผ่าพิภพไททันสำหรับผมไม่ใช่อนิเมะที่ดูเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว แต่มันคือเรื่องที่ชวนให้เราตั้งคำถามกับโลก ความเชื่อ และการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ในรูปแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะเล่าผ่านอนิเมะได้จริง ๆ ผมจำได้ว่าตอนดูครั้งแรก ผมนั่งดูตอนแรกตอนเดียว แล้วรู้สึกว่า “ก็โอเคนะ แต่ยังไม่คลิก” เลยหยุดไว้แค่นั้น แต่พอกลับมาดูอีกทีในช่วงที่มันเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ผมเริ่มรู้สึกว่า เออ…เรื่องนี้มันมีอะไรที่เรายังไม่เข้าใจอีกเยอะ เลยให้โอกาสมันอีกที แล้วก็ไม่ผิดหวังเลยครับ มันกลายเป็นหนึ่งในอนิเมะที่อยู่ในลิสต์ “ดูแล้วเปลี่ยนวิธีมองโลกไปตลอด” ของผมไปเลย สุดท้าย ถ้าคุณยังลังเล ผมอยากชวนให้ลองดูสัก 4-5 ตอนแรกแบบจริงจัง แล้วจะเริ่มเห็นว่ามันมีอะไรมากกว่าการต่อสู้แน่นอน ส่วนถ้าคุณเคยดูแล้วแต่ยังดูไม่จบ ผมอยากบอกว่า การเดินทางของ Attack on Titan มันคุ้มค่าที่จะเดินไปจนสุดทาง เพราะตอนจบของมันไม่ใช่แค่ “บทสรุป” แต่มันคือการเฉลยว่าเรื่องนี้จริง ๆ แล้วกำลังพูดถึงอะไร ไว้ครั้งหน้าผมอาจมาเล่าแบบเจาะลึกธีมบางอย่างของเรื่องนี้ให้ฟัง เช่น ทำไม “อิสระภาพ” ถึงเป็นคำที่ทรงพลังที่สุดในเรื่อง หรือเจาะตัวละครที่ผมชอบที่สุดอย่าง “เอเรน” ถ้าสนใจ บอกได้นะครับ ผมจะเล่าให้ฟังแบบเพื่อนนั่งคุยกันเหมือนเคยเลยครับ รูปภาพปกทั้งหมดมาจาก x.com เจ้าของภาพ 「進撃の巨人」公式アカウント :|: ภาพปกที่ 1 รูปภาพประกอบทั้งหมดมาจาก x.com เจ้าของภาพ 「進撃の巨人」公式アカウント :|: ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !