ขอเกริ่นว่านี่ไม่ใช่รีวิวหนัง ไม่ใกล้เคียงกับการเป็นบทวิเคราะห์-ตีความสัญญะใดๆ และยังห่างไกลจากการมีเจตนาจะ ‘อวย’ ให้หนังยาวเรื่องแรกของอาจารย์ที่เคยสอนภาพยนตร์ให้กับผมมาด้วย แต่เป็นการเขียนแบบ ‘ตามใจฉัน’ เสียมากกว่า คือนึกอะไรได้ก็จะเขียนไปเรื่อยๆ ฤกษ์งามยามดีครับ หนังเรื่อง ‘กระเบน ราหู’ ของอาจารย์คนที่ว่า หรือ ‘พี่ป้อม-พุทธิพงษ์ อรุณเพ็ง’ ได้เวียนกลับมาฉายที่บ้านเกิดสักที หลังจากไปตระเวนฉายมาห้าสิบกว่าเทศกาลในต่างแดน แล้วนี่อีก 3 เดือนก็จะครบรอบ 4 ปีพอดี นับจากตอนที่หนังเรื่องล่าสุดในกลุ่มเดียวกันของ Mit Out Sound Films อย่าง ‘Vanishing Point’ เข้าฉายในไทย ก่อนหน้านี้ ผมเคยดูหนังสั้นที่พี่ป้อมกำกับ ชื่อเรื่อง ‘ชิงช้าสวรรค์’ ที่เทศกาลหนังสั้นเมื่อสักสามสี่ปีก่อน จำได้ว่าเรื่องนั้นก็เล่าประเด็นคนชายขอบได้อย่างงดงามเช่นกัน (เรื่องนั้นน่าจะเป็น prelude ของ กระเบน ราหู) จนมาได้ดู กระเบน ราหู ที่เทศกาลหนังอาเซียน ก่อนวันฉายจริงตามโรงทั่วไปเพียงสามวัน จองตั๋วทันได้อย่างไร-ไม่ทราบ เพราะเพียงสองสามชั่วโมงหลังเปิดจอง-ในเพจก็แจ้งว่าตั๋วเต็มแล้ว (เต็มเป็นเรื่องที่ 2 ถัดจาก Friendzone) ขณะคุยกับเพื่อนที่เป็นพนักงานขายตั๋วหนัง พอผมพูดชื่อหนังเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ เพื่อนก็มักจะเล่นมุกว่าหมายถึง “เมืองที่ประเทศพม่าน่ะหรือ” จนผมต้อง...เห้ออออ...คอยตามแก้มุกให้ถึงสองครั้งสองครา เพราะชื่อหนัง (Manta Ray) กับ ชื่อเมือง (Mandalay) ดันพ้องเสียงกัน ตอนอยู่ในโรง ผมรู้สึกตื่นตากับการถ่ายภาพและงานอาร์ตในหนังมากๆ โดยเฉพาะซีนป่าลึกและบ้านพัก ซึ่งมีแสงสีทั้งจากชุดพรางไฟของนายพรานและจากดิสโก้บอล ซึ่งอาจมาจาก ‘ชั่วโมงบิน’ ของการทำงานเป็นอาร์ตไดและผู้กำกับภาพอันยาวนานหลายปีของพี่ป้อมนั่นเอง อีกสิ่งที่ทำให้ผมพยายามถ่างตา-ไม่แอบหลับ เนื่องจากตั้งหน้าตั้งตารอคอยซีนที่จะได้เห็นกระเบน (อันที่จริงเปิดดูสารคดีสัตว์โลกหรือไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็อาจจะง่ายกว่า) เพราะเท่าที่จำได้ ก่อนหน้านี้มีหนังไทยเพียงเรื่องเดียวที่มีกระเบน นั่นคือตอนอนันดาขี่ซีจีใน ‘ปืนใหญ่จอมสลัด’ แต่ใน Manta Ray นี่ใช้กระเบนตัวเป็นๆ มาถ่ายเลยนะ…ว้าว! (ฟังตอน Q&A พี่ป้อม บอกว่าเป็นกระเบนของพี่นัท, ผมเข้าใจว่าหมายถึงพี่นัท สุมนเตมีย์ - ช่างภาพใต้น้ำ) เพื่อนผมผู้โชคร้าย เล่าว่าเผลอหลับช่วงท้ายของหนัง ตื่นมาอีกทีขึ้น End credit แล้ว ผมบอกเลย-พลาดฉากสำคัญจริงๆ สิ่งที่ผมไม่อินที่สุดในหนัง คือเพลงกับดนตรีประกอบ ซึ่งรสนิยมของผมกับผู้กำกับคงไม่ตรงกัน จนหลายซีนถึงขั้นรู้สึกว่าถ้าไม่ใส่เข้ามาเลย แต่มีเพียงเสียงบรรยากาศในซีน ผมอาจชอบหนังมากกว่านี้ ในรอบที่ผมไปดู หลังหนังฉายจบ มีผู้ชมถามพี่ป้อมในช่วง Q&A ว่า “หนังเรื่องนี้ดีแต่ดูค่อนข้างยาก ผู้กำกับมีแผนจะทำเรื่องต่อไปรึยัง แล้วถ้าทำ-จะทำหนังที่ตอบโจทย์ทางด้านการตลาดมากกว่านี้มั้ย” (ฮา) ด้วยความที่มีรุ่นน้องหลายคนจากคณะที่ผมเรียนจบมา ไปฝึกงานในกองถ่ายหนังเรื่องนี้ แถมบางคนเป็นนักแสดงประกอบด้วย แม้เมื่ออยู่ในหนังจะเห็นบางคนอยู่ไกลๆ บ้างหันหลัง บ้างหันข้าง หรือจะหลุดโฟกัสในเฟรม แต่ผมก็ยังพอเดาได้อยู่ดีว่าใครเป็นใคร! รวมถึงพี่ตี๋ (ผู้รับบทเป็นไต้ก๋ง) ทำให้ขณะดูก็มีแอบหลุดจากเรื่องราวของหนังบ้างเป็นระยะๆ (ตั้งแต่เรียนจบมาผมก็ไม่ได้เจอพี่ตี๋เลย ซีนไหนที่เห็นแก ผมก็จะนึกถึงข้อความเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางที่แกชอบมาแสดงความคิดเห็นในโพสต์เฟซบุ๊กของผม-จนผมเกือบหลุดขำในโรง) แต่ถึงจะไม่ใช่คนรู้จักกัน ก็ใช่ว่าผมจะต่อติดกับหนังทั้งเรื่องได้โดยง่าย เพราะหนังค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวของผู้กำกับ ไม่ใช่หนังสำหรับคนดูทุกคน เหมือนเราไปดูงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ไม่เรียกร้องว่าต้องเข้าใจทุกสิ่ง มีความเห็นตรงกับคนอื่นทุกอย่าง ซึ่งถ้าใครโหยหาความแปลกใหม่ในหนังไทยก็ไม่ควรพลาด เพราะ Manta Ray น่าจะเป็นหนังไทยขนาดยาวเพียงไม่กี่เรื่อง (หรือเรื่องแรกด้วยซ้ำ) ที่เล่าประเด็นเกี่ยวกับชาวโรฮิงญา ส่วนโปสเตอร์หนังที่ทำออกมาขายเป็นกราฟิกรูปกระเบนบนพื้นหลังสีขาว ซึ่งออกแบบมาได้อย่างสวยงามและน่าสะสมทั้งที่จริงๆ โปสเตอร์อีกแบบที่เป็นหน้านักแสดงนำชายหลับตาอยู่ในห้องมืดแล้วมีแสงสีจากดิสโก้บอล-ก็สวยดี น่าเสียดายที่ไม่ผลิตมาขายคือใครดูหนังแล้วไม่ชอบ หรือไม่คิดจะดูหนังอยู่แล้ว ก็ซื้อผลงานศิลปะชิ้นนี้ไปติดผนังห้องนอนได้เผื่อยามดึกในวันที่ชีวิตมืดหม่นเหมือนอยู่ในป่าลึกแสงสีเหล่านั้นจากโปสเตอร์จะแอบเรืองรองขึ้นมาช่วยนำทางได้บ้าง…แม้เพียงในความฝันก็ยังดีนะ. ภาพประกอบ - จากเพจเฟซบุ๊กของหนังเรื่อง Manta Ray