Series Review Khakee: The Bengal Chapter (2025) ตำรวจ: บันทึกจากเบงกอล งานสืบสวนสไตล์อินเดียระห่ำเดือดกับเรื่องง่ายๆตำรวจน้ำดีไล่ล่าล้างบางทรชนที่พอเข้มแต่ไม่ข้นบนชั้นเชิงธรรมดาแต่ว่าพลิกไปมาไม่เบา รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! อย่างที่เคยบ่นไว้ว่าการที่ผู้เขียนต้องหารูปประกอบบทความที่ถูกลิขสิทธิ์มันทำให้ต้องผ่านตารูปโปรโมทหนังหรือซีรีส์ที่น่าสนใจบ่อยๆและมันจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหนังหรือซีรีส์เรื่องนั้นสามารถหาดูได้อย่างถูกลิขสิทธิ์เช่นกัน แต่ที่คันหัวใจคือบางเรื่องพอเห็นรูปแล้วก็เกิดอาการน้ำลายไหลอยากดูแต่มันดันหาดูไม่ได้อันนี้นี่ล่ะที่พาให้ระทมกบาลเอา แน่นอนว่าผู้เขียนดูหนังดูซีรีส์ที่ค่อนข้างหลากหลายและปัจจุบันคอนเทนต์จากอินเดียโดยเฉพาะที่พูดภาษาฮินดีกลายเป็นตัวเลือกต้นๆเพราะหาดูง่ายขึ้นมากงานดีๆให้เลือกดูเยอะขึ้น โดยเฉพาะทาง NETFLIX ที่ออกทุนสร้างให้กับทางประเทศต่างๆได้สร้างงาน Original ออกมาเพื่อส่งสู่สายตาของผู้ชมและอินเดียก็มีงานออกมาบ่อยทั้งหนังและซีรีส์ แล้วก็มาถึงเรื่องนี้ที่ผู้เขียนเห็นแล้วก็เกิดอาการสนใจเพราะบางอารมณ์ก็อยากดูงานสืบสวนตำรวจจับผู้ร้ายสนุกๆบ้างและในช่วงหลังงานจากอินเดียยุคใหม่จะมาด้วยชั้นเชิงเหนือๆ แต่เรื่องนี้กลับผิดคาดแต่ที่ผิดคาดนั้นไม่ได้ทำให้ความสนุกลดลงแต่กลับเป็นเสน่ห์อีกอย่างได้เช่นกันแล้วมาว่ากันดังนี้ ที่เมืองกัลกัตตารัฐเบงกอลตะวันตกที่มีรัฐบาลท้องถิ่นบริหารเองกลายเป็นดินแดนแห่งอาชญากรรมเมื่ออาชญากรร่วมมือกับนักการเมืองอย่าง Barun Roy (Prosenjit Chatterjee) ที่เมื่อจะเข้าตาจนนักการเมืองที่โสมมก็กำจัดอาชญากรทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วเมื่อประชาชนเรียกร้องนักการเมืองก็แต่งตั้งตำรวจตงฉินเข้ามาสืบสวนปราบปรามอาชญากรรมเพื่อสร้างภาพและกลบเสียงเรียกร้องนั้น แต่ที่พวกนักการเมืองคาดไม่ถึงคือคนที่แต่งตั้งมาดันกลายเป็นตำรวจพันธุ์หมาบ้าผู้ซื่อตรงอย่าง Arjun Maitra (Jeetendra Madnani) แล้วกลายเป็นว่าอาชญากรคนใหม่ที่อยู่ในการควบคุมของ Barun Roy คือ Sagor Talukdar (Ritwik Bhowmik) และคู่หูคู่โหด Ranjit Thakur (Aadil Zafar Khan) ที่ขึ้นมาแทนคนเก่าก็กลายเป็นถูกสารวัตร Arjun Maitra ตามล้างตามเช็ด แต่เมื่อมันเกี่ยวกับการเมืองที่ควบคุมระดับสูงสารวัตร Arjun Maitra ก็ทำงานลำบากเขาจึงซ้อนแผนพวกอาชญากรและนักการเมืองซะเลยเพื่อล้างบางทรชนจนถึงรากเหง้าของรัฐเบงกอลตะวันตก เซ็ตเรื่องให้เกิดขึ้นต้นยุค 2000 จึงคล้ายเป็นหนังยุคนั้นที่ไม่เน้นชั้นเชิงความเหนือเหมือนเอาหนังแนวนี้มาขยำรวมกัน ความจริงผู้เขียนก็เพิ่งทราบตอนเขียนนี่แหละว่ามีซีรีส์นี้ออกมาก่อนชุดหนึ่งและแน่นอนไม่ได้ดูแต่เมื่อลองหาข้อมูลดูก็คือมันแยกจากกันไม่ต้องดูอันนั้นดูอันนี้ได้เลย ซึ่งจุดหนึ่งที่ทำให้สามารถหย่อนใจกับอะไรที่ขัดหูขัดตาในการดูงานที่เหมือนเอาหนังแนวตำรวจจับผู้ร้ายมาขยำไว้รวมกันแล้วลากเรื่องให้ยาวทั้งที่สามารถเล่าได้ในเวลาสั้นกว่านี้ได้ สิ่งนั้นคือการเซ็ตเรื่องให้เกิดขึ้นในปี 2002 ที่ถ้าย้อนกลับไปมองหนังหรือซีรีส์ยุคนั้นสิ่งที่ซีรีส์ชุดนี้เป็นคือการย้อนกลับไปวันนั้นเต็มประตู ด้วยการไม่พยายามซับซ้อนหรือสับขาหลอกแต่คงไว้ซึ่งความพลิกผันที่เอาเรื่องเหมือนกันคือดูไปก็รู้เลยว่าเหตุการณ์จะพัฒนาไปอย่างไรต่อ แถมยังไม่พอเหตุการณ์สืบสวนระหว่างทางที่จะไปถึงจุดสุดท้ายกลายเป็นความง่ายไปหมดซึ่งถ้าว่ากันถึงงานในยุคปัจจุบันมันคือความรั่วเน้นๆ แต่เมื่อมองว่ามันคือการย้อนกลับไปใช้วิธีการเล่าเรื่องในสมัยนั้นมันก็พอที่จะให้อภัยได้เหมือนกัน แต่กลับกลายเป็นเสน่ห์เพราะมีความเดือดระอุในตัวมีความดุพอประมาณมีความเข้มพอได้แม้จะไม่ข้นแต่สนุกและชวนติดตาม แม้จะเหมือนรั่วหรือเบาไปบ้างในส่วนของบทที่มีเป้าประสงค์ชัดแต่ผูกเรื่องไม่แน่นทำให้กลายเป็นความง่ายเกินไป แต่นั่นคือการมองเข้าไปจากงานยุคปัจจุบันที่ความซับซ้อนต้องมีความเหนือชั้นต้องมายิ่งเป็นหนังอินเดียด้วยปัจจุบันยิ่งพยายามหักมุม แต่ตลอดเจ็ดตอนกลับเลือกขายของเก่าหรือเอาง่ายๆคือเหมือนการดูหนังอินเดียสมัยนั้นเป๊ะๆทั้งฉากและเสื้อผ้าหน้าผมซึ่งนั่นมันของแน่และงานด้านภาพที่ดูยังไงก็ย้อนยุคเหมือนการดูละครซึ่งก็แน่นอนอีกเช่นกันเพราะนี่มันคืองานซีรีส์มิใช่หนังใหญ่ แต่มันดันกลายเป็นเสน่ห์เมื่อการเล่าเรื่องที่เข้มกับเรื่องตำรวจไล่ล้างบางทรชนแต่อาจขาดความข้นเพราะเหตุการณ์มันไม่มีรายละเอียดมาพร้อมความเดือดระอุฉากแอ็กชันที่ดูเอามันส์ได้แถมยังมีดุเลือดสาดพอประมาณ แล้วเสน่ห์ตรงนั้นก็พาให้เหตุการณ์ที่เดินหน้าไหลไปเรื่อยๆแบบไม่เปลืองสมองพาไปอย่างสนุกแม้จะรู้ว่าจะไปยังไงต่อแน่นอนก็ตาม การแสดงอาจกลายเป็นที่ให้ติเมื่อเหมือนย้อนกลับไปเป็นยี่สิบปีที่ระหว่างนั้นได้ผ่านตาการแสดงที่ได้ถูกพัฒนาตามยุคสมัยมาแล้ว สารภาพว่าผู้เขียนเห็นหน้า Jeetendra Madnani หรือ Jeet พระเอกเรื่องนี้แล้วคิดถึงดาวร้ายในตำนานของไทยอย่างคุณฤทธิ์ ลือชาตลอด ด้วยความที่เหตุการณ์ถูกย้อนกลับไปเป็นยี่สิบกว่าปีทำให้จะว่าเป็นที่ติก็ใช่จะเป็นที่ให้ชมก็คงใช่อีก เพราะตลอดทั้งเรื่องการแสดงเหมือนย้อนกลับไปดูหนังอินเดียยุคนั้นจริงๆนึกไม่ออกให้ลองระลึกถึง Dhoom (2004) ในด้านแอ็คติ้ง แต่ถ้ามองอีกมุมคือการได้ผ่านตาพัฒนาการการแสดงโดยเฉพาะของอินเดียที่ตลอดสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาต่อให้ร้องเล่นเต้นระบำแอ็คติ้งของทางอินเดียก็มีการพัฒนามาจนเข้มข้นได้อย่างในปัจจุบัน แล้วการย้อนกลับไปแสดงให้ได้เหมือนสมัยนั้นอาจเป็นที่ชื่นชมเพราะด้วยบทหนังที่มิติไม่มีอะไรมากตัวร้ายก็ร้ายสุดขั้วคนชั่วที่อยู่เบื้องหลังก็คือชั่วสุดขีดส่วนพระเอกก็ไม่มลทินอะไรทำให้ด้วยมิติตัวละครที่แบนราบยังทำให้ดูเพลินได้ขนาดนี้อาจต้องยกนิ้วให้เช่นกัน เป็นงานสืบสวนที่อาจดูไม่ยากไม่ซับซ้อนไม่เหนือชั้นแต่พัฒนาเหตุการณ์ได้เรื่อยๆอาจไม่ยากต่อการคาดเดาแต่ก็พลิกผันใช้ได้ ถ้าว่ากันที่ความเห็นส่วนตัวล้วนๆยังมองว่าเป็นงานที่ดูสนุกเพราะถ้าไม่สนุกด้วยนิสัยผู้เขียนไม่มีทางเสียเวลาชีวิตดูจนจบแน่นอน คือมันมีความเป็นงานแอ็กชันสืบสวนมากกว่าจะมาเป็นงานดราม่าอาชญากรรมเน้นการสืบค้นหรือเปิดโปงกันแบบลุ่มลึก หรืออาจเรียกว่าเป็นซีรีส์ที่มาเพื่อความบันเทิงเอาความสะใจเป็นที่ตั้งมากกว่ามาเพื่อท้าทายสมองประลองการคาดเดา แต่สิ่งที่เป็นคือการเดินหน้าที่เร็วจนอาจมองได้ว่าเร็วเกินไปจนลืมรายละเอียดก็ย่อมได้แต่ถ้าดูเอาความบันเทิงแบบยาวๆกว่าการดูหนังสักสองชั่วโมงมันก็คือความสนุกการเดินเรื่องที่ลื่นไหลมีเสน่ห์ที่ความเป็นหนังอินเดียยุคเก่าที่โหยหา (มั้ง) ซึ่งก็จัดว่าเป็นงานที่เอาดีได้ดูสนุกดูเพลินแม้ว่าตอนสุดท้ายจะเหมือนพยายามยืดเกินไปจนเวลาหมดจนต้องมาตัดจบเอาดื้อๆแถมตัวร้ายที่น่าจะร้ายแบบถึงกึ๋นกลายเป็นแบบที่เห็นซึ่งก็คือการหาทางลงแบบถ้าไม่ลงแบบนี้ก็จบไม่ลงแล้วน่ะสิ ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6 / ภาพที่ 7 จาก Instagram netflix_in เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !