ชีวิตมีความงดงามให้เราเรียนรู้อยู่เสมอคงมีใครเคยถามตัวเองกันบ้างล่ะว่า “ชีวิตเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?” “แล้วเราจะไปทางไหนต่อ?” หากชีวิตเปรียบเป็นหนังสือปกสวยๆสักเล่ม ความโหดร้ายอาจเริ่มต้นกันตั้งแต่หน้าแรกที่เปิดเลยด้วยซ้ำไป นั่นก็เพราะเราทุกคนต่างมีอดีต มีบาดแผลเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะจากเรื่องส่วนตัว เพื่อน คนรัก หรือครอบครัวก็ตาม หลายเรื่องราวเข้ามาปะปนอยู่บนเส้นทางชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ หลายเรื่องราวของชีวิตมันอาจจะหนักจนเกินทานทน หรืออาจจะเปราะบางจนแม้แต่ตัวเราเองก็คาดไม่ถึงเลยก็ได้Olive Kitteridge เป็นหนังสือขายดีเจ้าของรางวัล Pulitzer Prizes 2009 และรางวัลวรรณกรรม Premio Bancarella 2010 โดยนักเขียน เอลิซาเบท สเตราต์ หนังสือที่เล่าเรื่องราวของ โอลีฟ คิตเตอริดจ์ คุณครูวัยเกษียณคนนึงกับการใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองคลอสบี ในรัฐเมน เมืองคลอสบีเป็นเมืองที่ติดทะเลและมีอากาศหนาวเย็น โอลีฟ คิตเตอริดจ์ เป็นคุณครูสอนคณิตศาสตร์ ด้วยความที่คิตเตอริดจ์ สอนหนังสือมาอย่างยาวนาน ผู้คนที่เมืองนี้กว่าครึ่งค่อนเมืองล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของเธอ แต่เรื่องของเรื่องก็ด้วยความที่ คิตเตอริดจ์ เป็นผู้หญิงที่ดุ เข้มงวด พูดจาขวานผ่าซาก ไม่ยอมรักษาน้ำใจใคร จึงทำให้ผู้คนในเมืองต่างไม่ค่อยชอบเธอเท่าใดนัก และด้วยความที่เมืองคลอสบี เป็นสังคมเมืองเล็กๆอย่างที่บอกเรื่องราวต่างๆ ทั้งความห่วงใย หรือการนินทาว่าร้ายกัน ก็มักจะเดินทางได้เร็วเป็นธรรมดาขอบคุณภาพประกอบจาก pxhereOlive Kitteridge เป็นหนังสือที่ประกอบขึ้นจาก 13 เรื่องสั้นภายในเล่ม ที่อ่านแต่แรกดูเหมือนจะไม่ข้องเกี่ยวกัน แต่บุคคลในเรื่องราวเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับ คิตเตอริดจ์ ในฐานะต่างๆเช่นคนขายของ เพื่อนบ้าน ศิษย์เก่า แม้กระทั่งสามี ชายผู้มีจิตใจดีงาม และลูกชายคนเดียวของเธอ เนื้อเรื่องในหนังสือจะค่อยๆบอกเล่าตั้งแต่ คิตเตอริดจ์ หญิงวัยกลางคนจนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยชรา Olive Kitteridge ที่เขียนโดย เอลิซาเบท สเตราต์ นั้นพยายามบอกเล่า และดำเนินเรื่องราวกับให้ชีวิตเป็นการผจญภัย บางครั้งพาเราใจหายใจคว่ำ บางครั้งหนักหนาสาหัสเกินจะทนอ่านต่อ บางครั้งก็เบาหวิวจนแทบจับต้องอะไรไม่ได้เลย แต่ก็นั่นแหละชีวิตไม่ใช่เหรอ? หากจะเปรียบชีวิตในหนังสือก็คงเหมือนท้องทะเลของเมืองคลอสบี ที่บางครั้งดูเงียบสงบ เยือกเย็น แต่ทุกคนในเมืองก็รู้ดีว่าพายุอาจก่อตัวขึ้นมาได้ทุกเมื่อ และเมื่อเกิดขึ้นทุกครั้ง พายุก็ทิ้งความเสียหายเอาไว้ให้เสมอ ขอบคุณภาพประกอบโดย mohamed hassan จาก pxhereเอลิซาเบท สเตราต์ ตั้งใจที่จะให้หนังสือบอกเล่าเรื่องราวแบบเรียบง่ายที่สุด เลือกเล่าด้วยภาษาที่เป็นมิตร เคลือบฉาบด้วยถ้อยคำที่งดงาม แต่ความเรียบง่ายก็แทรกซึมเข้าไปบาดลึกหัวใจของคนอื่นทีละนิด กว่าจะรู้สึกเจ็บปวดแผลในใจก็เปิดกว้างเกินไปเสียแล้ว และท้ายที่สุดก็ร้อยเรื่องราวเป็นเส้นเรื่องเป็นบริบทเดียวกัน ทุกๆเรื่องราวก็จะค่อยๆตีกรอบล้อมตัวของ คิตเตอริดจ์ เอาไว้ เหมือนพายุที่ค่อยๆโหมเข้าหาฝั่ง เหมือนชีวิตคุณครูคิตเตอริดจ์ ที่ต้องเป็นนักสู้ ต้องสู้กับเรื่องต่างๆตั้งแต่วัยสาว สุดท้ายยังต้องมาต่อสู้เรื่องการที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปให้ได้ในวัยชรา ขอบคุณภาพประกอบจาก pxhereOlive Kitteridge ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เช่นหนังสือดังๆหลายๆเรื่อง แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดู หรือถ้ามีโอกาสได้ดูอาจจะไม่อยากดูก็ได้ เพราะได้อิ่มเอมกับเรื่องราวในหนังสือที่ถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วนไปแล้ว หนังสือวรรณกรรมบางเรื่องก็ใช่ว่าจะถ่ายทอดออกมาเป็นภาพได้งดงามเท่าตัวอักษร หากจะให้บอกตรงนี้ว่าเพราะอะไรจึงควรหา Olive Kitteridge มาอ่าน คงยากจะบอกจริงๆสำหรับหนังสือเล่มหนึ่งเล่มใด บทวิจารณ์ การยกย่อง รางวัล Pulitzer Prizes 2009 หรือรางวัลวรรณกรรม Premio Bancarella อาจจะเป็นปัจจัยนึงที่เป็นแรงดึงดูด แต่หากหนังสือสักเล่มที่เมื่อเราได้เริ่มอ่านแล้ว คุณสามารถตกหลุมรักมันเพียงบทหรือสองบทแรกได้ทันที รางวัลต่างๆก็จะไม่มีค่าสำคัญอะไรเลย และ Olive Kitteridge ก็คือหนังสือที่หลายคนจะหลงรัก ขอบคุณภาพประกอบโดย vasilisa.via จาก pxhereสังคมไทย สังคมโลกเปราะบางขึ้นไปทุกขณะ ใครจะบอกได้อย่างแท้จริงว่าใครจะเป็นคนดูแลใคร และความหนักหนาของชีวิตก็วัดกันไม่ได้เช่นเดียวกัน เรื่องเศร้าของแต่ละคนมีขนาดของความเศร้าที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็นั่นล่ะ การรับมือกับชีวิตหนักๆเป็นเรื่องยาก ในโลกจริงไม่มีใครเป็นนางเอก หรือนางร้ายได้ตลอดกาล Olive Kitteridge ก็เช่นเดียวกัน หนังสือเล่มนี้อาจเป็นเสมือนคำปลอบประโลม ที่จัดสัดส่วนให้โลกที่เราอยู่ กับโลกในวรรณกรรมเข้ากันได้อย่างแนบสนิท ความงดงาม ความสุขอาจจะปลอมโยนเราได้อยู่บ่อยครั้ง แต่อย่าลืมว่า ความเศร้า ความจริง ก็สามารถปลอบโยนเรา ในวันที่เราโดดเดี่ยวได้ไม่แพ้กัน iSSANDY