Movie ReviewKingdom มหาสงครามกู้แผ่นดิน (2019)หนึ่งในงานสร้างจากมังงะชั้นเยี่ยม อลังการมหึมามหามันส์เมื่อประวัติศาสตร์จีนถูกเล่าแบบญี่ปุ่นด้วยชั้นเชิงและบทในแบบมังงะ เริ่มต้นบทความนี้ต้องเท้าความว่าผู้เขียนมีลูกชายสองคนที่โตมาคนละยุคคนโตโตมากับหนังสือแต่คนเล็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นโตมากับสื่อภาพเคลื่อนไหว แน่นอนการโตมากับยุคทองของหนังซุปเปอร์ฮีโร่ก็ทำให้เขากลายเป็นสาวกของซุปเปอร์ฮีโร่ไปโดยปริยาย แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องไปใช้ชีวิตที่โรงเรียนประจำเพื่อตามฝันการเป็นนักวิทยาศาสตร์ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรเพราะเขากลายเป็นหันมาชื่นชอบการ์ตูนญี่ปุ่นที่บังคับให้พ่อเรียกว่ามังงะ แล้วความชอบมังงะนี่เองที่ทำให้เขาติดตามและมีความรู้เรื่อมังงะชั้นดีที่น่าติดตามและกลายเป็นบังคับให้ผู้เขียนดูอนิเมะด้วยหลายเรื่องแต่อาจไม่ได้เขียนถึงเพราะไม่ค่อยถนัด ซึ่งผู้เขียนเองที่มีหลักการเลี้ยงลูกคือจะต้องมีการทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าทางใดและการดูอนิเมะก็คือกิจกรรมหนึ่ง ที่ผู้เขียนจะบอกคือมีหนังเรื่องหนึ่งที่ลูกคนเล็กบอกให้ดูและบังคับให้เขียนถึงเพราะเขาบอกว่านี่คืองานที่สร้างจากมังงะชั้นยอดแต่ผู้เขียนก็ผัดผ่อนเรื่อยมา จนมาวันนี้ปิดเทอมใหญ่เลยได้เวลาดูด้วยกันกับมหากาพย์สงครามรวบรวมแผ่นดินจีนที่เล่าโดยคนญี่ปุ่นที่ยอมรับว่าน่าจะดูตั้งนานแล้วสองเด็กกำพร้าจากสงครามนามชิน (เคนโต ยามาซากิ) และเฮียว (เรียว โยชิซาวะ) อาศัยในหมู่บ้านเล็กๆในแคว้นฉินทั้งสองรักกันดั่งพี่น้องและฝึกดาบด้วยกัน วันหนึ่งเฮียวถูกสั่งให้เข้าวังเพื่อรับใช้พระราชาแต่เขากลับมาด้วยสภาพปางตายโดยมอบหมายให้ชินไปทำภารกิจแทนเขาที่ต้องพลีชีพ กระทั่งชินได้พบกับพระราชาที่ถูกโค่นอำนาจนามว่าเอเซ (เรียว โยชิซาวะ) เขาจึงทราบว่าเฮียวไปทำหน้าที่ตายแทนพระราชา แล้วจากการช่วยเหลือของเต็น (คันนะ อาชิโมโตะ) เด็กดอยใจดีที่พาพวกเขาหนีกองทหารกบฏไปตั้งหลักและพบกับทหารที่ภักดีต่อพระราชาเอเซ แต่ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่ามากมายพระราชาเอเซที่สาบานเป็นพี่น้องกับชินที่จะไม่มีคำว่านายกับบ่าวจึงต้องไปขอความช่วยเหลือด้านกำลังพลจากชาวเขา ทว่าหัวหน้าเผ่าชาวเขานามว่าโยทันวะ (มาซามิ นากาซาวะ) ก็ไม่ยอมชินจึงต้องโน้มน้าวด้วยวิธีของเขาจนโยทันวะยอมช่วยเหลือในการช่วงชิงบัลลังก์แคว้นฉินกลับมา จนเมื่อทุกอย่างสมประสงค์ปณิธานของพระราชาเอเซคือรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่นโดยมีชินและเต็นเคียงข้างเพราะเป็นจุดเริ่มต้นมหากาพย์จึงเล่าเรื่องได้ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นในเรื่องอิงประวัติศาสตร์ แต่เมื่อประวัติศาสตร์จีนถูกมองในมุมของคนญี่ปุ่นเลยรู้สึกแปลกๆประมาณดูหนังจีนโปรดักชันญี่ปุ่นพูดภาษาญี่ปุ่นแต่นั่นก็ไม่ถึงกับใช่ และพึงทราบไว้ว่านี่คืองานสร้างจากมังงะที่เขียนเรื่องอิงประวัติศาสตร์ชาติจีนแล้วก็คงแต้มแต่งอะไรต่อมิอะไรให้เป็นความบันเทิงในแบบของมังงะที่เป็นมหากาพย์ขนาดยาว ดังนั้นเมื่อเอามาขึ้นจอเป็นหนังคนแสดงจึงต้องเล่าให้ได้เพราะจะตัดทอนอะไรก็ยากด้วยความที่เรื่องการรวมชาติของเจ้าแคว้นฉินที่คนดูหนังจีนคงคุ้นกับจิ๋นซีฮ่องเต้มากกว่าคือรายละเอียดเยอะ โชคดีที่หนังเรื่องนี้ได้ถูกรังสรรให้เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ที่เล่าด้วยรายละเอียดได้ยอดเยี่ยมเพราะแม้จะสลัดเอาความเคยชินออกจากหัวไปแล้วก็มองไม่เห็นช่องว่างในทางการเชื่อมโยงอะไร นั่นคือในเรื่องของตัวละครที่ภาคนี้มีแค่ปูและเหตุการณ์จากจุดเริ่มแรกไปยังจุดเริ่มต้นในบทสรุปนั้นคือการเล่าเรื่องที่ถือว่าเล่าได้เลยแม้จะไม่พยายามขยี้ทั้งที่มีช่องเพราะนี่คือหนังญี่ปุ่นก็จะเป็นแบบนี้นอกจากเล่าเรื่องได้ยังมาพร้อมความดุเดือดอลังการงานสร้างที่ต้องยกนิ้วให้ทั้งฉากแอ็กชันและงานด้านภาพ แน่นอนสิ่งที่ต้องมีในหนังหากาพย์สงครามแบบนี้ก็คือฉากแอ็กชันที่ในภาคนี้ถ้าว่ากันตามตรงเสกลยังไม่ใหญ่มากอาจเพราะนี่คือจุดเริ่มต้นเป็นการชิงบัลลังก์กันในแค้วน กระนั้นภาพที่ฉายออกมาเป็นฉากแอ็กชันคือดูดีมีชาติตระกูลคือมีความสนุกตื่นเต้นเร้าใจดุเดือดได้แม้จะเน้นการต่อสู้ตัวต่อตัวแต่ก็ว่าไม่ได้เพราะภาพรวมคือการปูพื้นฐานตัวละคร ซึ่งแม้จะเป็นว่ามีการใช้เรื่องเทคนิคมาช่วยแต่ไม่ได้เหนือสามัญสำนึกมากมายอย่างน้อยก็ไม่ปล่อยแสงหรือเหาะเหินเดินอากาศแน่นอนไม่ใช่ลีลากังฟู แต่สิ่งที่ต้องติเล็กน้อยคือการไม่ขยี้ในเวลาที่ควรทำให้แม้จะเล่าเรื่องได้ครบถ้วนแต่ก็หย่อนความเข้มข้นนิดหน่อยทำให้คนดูกลายเป็นแค่ทหารปลายแถวที่อาจแกล้งตายในสนามรบมากกว่า นั่นคือเหมือนเดินหน้าไปหาฉากต่อสู้สถานเดียวซึ่งก็ไม่ผิดเพราะเวลามีเท่านี้ค่อยไปว่ากันที่ภาคต่อไปคงดีกว่า แต่ที่ต้องชื่นชมคือฉากและงานด้วนภาพมุมกว้างที่อลังการงานสร้างทั้งภาพจริงและภาพซีจีทำให้สะกดสายตาได้มีความสดใหม่ในเรื่องเก่าโดยใช้บทสนทนาและชั้นเชิงในแบบมังงะมาเล่าทำให้กลายเป็นงานสร้างจากมังงะชั้นเยี่ยม ถ้าไม่นับกับการที่เรียกชื่อตัวละครเป็นญี่ปุ่นที่แปลกไปเลยเพราะไม่คุ้นเคยและคงไม่ไปรื้อฟื้นว่าใครเป็นใครเพราะหนังตั้งใจมาบันเทิงและลูกคนเล็กก็บอกว่ามังงะก็มาเพื่อสนุก แต่สิ่งที่ทำให้เป็นความต่างคือการเขียนบทสนทนาในแบบมังงะที่มักจะอธิบายบางอย่างไม่เหมือนชาวบ้านเขาหรือการใช้ชั้นเชิงแบบมังงะมาเล่าซึ่งก็ควรเป็นแบบนั้นเพราะนี่คืองานสร้างจากมังงะ ยังต้องรวมถึงบทพูดตอนสุดท้ายของชินที่ว่ากันที่เรื่องความฝันที่จะเป็นแม้ทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกน้ำลายราคาถูกของศัตรูพ่นใส่ สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้กลายเป็นหนังญี่ปุ่นเต็มที่ไม่เหลือความเป็นจีนอยู่เลยแม้จะเล่าเรื่องจีนและบอกว่าแผ่นดินจีนเต็มปากเต็มคำ แล้วในมุมของคนอ่านมังงะอย่างลูกคนเล็กก็บอกว่ามันคือการคงสถานะทางจิตวิญญาณความเป็นมังงะไว้ได้อย่างสมบูรณ์แม้ว่าจะตัดทอนอะไรไปบ้าง ซึ่งในฐานะที่ไม่ได้อ่านมังงะก็คงต้องยึดเอาความเห็นของคนที่อ่านมาว่านี่คืองานสร้างจากมังงะชั้นเยี่ยมเรื่องหนึ่งได้เลยถ้าตัดเอาความเคยชินในการดูหนังจีนออกไปการแสดงในแบบญี่ปุ่นก็คือให้ผลลัพธ์ที่ถูกที่ควรทั้งเสน่ห์และความสมบทบาท เพราะความเป็นจีนได้ถูกโยนทิ้งไปเหลือเพียงเสื้อผ้าหน้าผมและฉากกับเรื่องที่เล่านอกนั้นเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว นั่นคือทุกอยางนอกเหนือจากที่ว่ามาเป็นญี่ปุ่นแท้ซึ่งรวมถึงการแสดงในแบบญี่ปุ่นที่จะมีเอกลักษณ์และบุคลิกในแบบญี่ปุ่น ซึ่งก็ไม่เสียหายอะไรเพราะดูไปก็ไม่รู้สึกว่าดูหนังจีนแล้วการแสดงจึงสมบทบาทในความที่เป็นการถอดกริยาท่าทางจากการ์ตูนมา แต่สิ่งที่ต้องยอมรับอยู่อย่างคือแม้จะมาในสภาพมอมแมมบ้างแต่เสน่ห์และพลังดาราของนักแสดงไม่มีหล่นหาย หรือเรียกง่ายๆว่าสามารถสร้างภาพจำให้กับตัวละครด้วยพลังดึงดูดสายตาทั้งเคนโต ยามาซากิและเรียว โยชิซาวะทางฝ่ายชาย แน่นอนทางฝ่ายหญิงก็ไม่น้อยหน้าทั้งเจ้าของฉายาสวยเสียของที่เรื่องนี้ไม่เสียเพราะมาในลุคเด็กชายที่ยังเป็นน้องสาวขาวแบ๊วคันนะ อาชิโมโตะและมาซามิ นากาซาวะที่ออกน้อยไปนิดแล้วยังมาในลุคเท่ๆ รวมๆแล้วก็นักแสดงแถวหน้าทั้งนั้นที่ให้การแสดงอย่างสมราคาเป็นความบันเทิงชั้นยอดมหึมามหามันส์จนเผลอคิดไปว่าทำไมหนังจีนยุคใหม่ไม่ทำอะไรแบบนี้ สุดท้ายคือความเห็นส่วนตัวในฐานะที่โตมากับหนังจีนแต่ปัจจุบันห่างเหินไปก็ต้องยอมรับว่าบางเรื่องญี่ปุ่นทำได้ดีกว่าหรือบางทีเกาหลีก็เป็น เช่น Rurouni Kenshin หนังที่สร้างจากมังงะได้ยอดเยี่ยมอีกเรื่องที่ไม่ต่างจากหนังจีนกำลังภายในแต่มันส์กว่า เช่นกันเรื่องนี้ถ้าว่ากันที่การเล่าเรื่องและฉากต่อสู้ที่ก็ใช่ที่ยังใช้งานด้านเทคนิคมาช่วยแต่ทำออกมาได้สนุกแบบมหึมามหามันส์ ทั้งฉากโรมรันพันตูกันหรือฉากสู้ตัวต่อตัวที่ดูสนุกจนเผลอคิดไปว่าหนังจีนปัจจุบันหาหนังที่คิวบู๊ดิบสวยและดุเดือดในตัวไม่ค่อยมี แต่ไปเน้นความหวือหวาพลิ้วไหวที่สารภาพจากใจว่ามันไม่สนุกเอาเสียเลย อาจเพราะผู้เขียนยึดติดกับอดีตที่โตมากับหนังจีน (ฮ่องกง) ยุค 90 ที่หนังจีนย้อนยุคมีฉากบู๊สนุกๆแบบนี้และมีแอ็กชั่นสตาร์มากมาย แต่ปัจจุบันดันหาได้จากหนังเกาหลีหรือญี่ปุ่นที่สามารถจรรโลงสิ่งเหล่านั้นไว้ได้แม้จะเล่าเรื่องต่างกัน เช่นเรื่องนี้ที่เป็นความบันเทิงทีคุ้มค่าและกลายเป็นว่าคงต้องมีบทความภาคสองและสามตามาเพราะมันน่าติดตามเสียนี่กระไรดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 จาก Instagram kingdom_movie ถ้าคุณชอบเรื่องนี้ คุณจะชอบเรื่องเหล่านี้https://entertainment.trueid.net/detail/zxLoVobWWogZhttps://entertainment.trueid.net/detail/QKkJ2XxlL9XBhttps://entertainment.trueid.net/detail/V7YGMX8dM5bNhttps://entertainment.trueid.net/detail/Gnr6xoky5Jynเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !