ผมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างกับชื่อ “ผ่าพิภพไททัน” หรือ Attack on Titan อนิเมะที่เริ่มต้นด้วยพล็อตสุดเดือด มนุษย์ต้องหนีตายจากไททันยักษ์ที่โผล่มากินคนกลางวันแสก ๆ ฟังดูเหมือนจะเป็นแค่แนวแอ็กชันเอาตัวรอด แต่ยิ่งดูไปเรื่อย ๆ ยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้นเลย รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ตอนที่ผมดูเรื่องนี้ครั้งแรก ยอมรับตามตรงว่าผมดูเพราะมันดัง มีฉากต่อสู้มัน ๆ และได้ยินคนพูดกันเยอะ แต่พอได้ดูจริง ๆ กลับพบว่ามันเป็นหนึ่งในอนิเมะที่ใช้ “ฉากแอ็กชัน” เป็นแค่เปลือกนอก เพื่อเล่าเรื่องที่ลึกกว่านั้นเยอะมาก ทั้งเรื่องการเมือง ความเชื่อ ความหวัง การหักหลัง และคำถามที่ว่า “มนุษย์คืออะไร” แบบที่ผมนั่งดูกี่รอบก็ยังขนลุกได้ทุกครั้ง เนื้อเรื่องของ Attack on Titan เริ่มต้นด้วยภาพง่าย ๆ ว่าเมืองมนุษย์ถูกไททันรุกราน คนอยู่หลังกำแพง ต้องหาทางเอาชีวิตรอด มีพระเอกอย่างเอเรนที่สูญเสียแม่จากเหตุการณ์วันนั้น เลยตั้งใจจะเข้าร่วม “หน่วยสำรวจ” เพื่อออกไปล้างแค้นไททัน และค้นหาความจริงเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่ยิ่งเรื่องเดินหน้า เราจะพบว่า “ไททัน” ที่ตอนแรกดูเหมือนจะเป็นสัตว์ประหลาดไร้สมอง จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ “ศัตรูตัวจริง” อย่างที่คิด และมนุษย์ที่อยู่หลัง “กำแพง” ก็อาจไม่ได้เป็นฝ่ายบริสุทธิ์เสมอไป เรื่องเริ่มพาเราไปรู้จักกับความซับซ้อนของสังคมที่บิดเบี้ยวจากความกลัว พาไปเจอกับคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัว เช่น ถ้าเราอยากให้ทุกคนมีอิสรภาพ แล้วคนอื่นที่คิดต่างจะต้องถูกทำลายหรือเปล่า ผมชอบมากที่ Attack on Titan ไม่เคยป้อนคำตอบให้ผู้ชมแบบสำเร็จรูป มันเหมือนเรากำลังดูสงครามของความคิดมากกว่าสงครามของดาบ หรือปืน มันคือความขัดแย้งระหว่างอุดมการณ์ ระหว่าง “อิสระภาพ” กับ “ความอยู่รอด” ระหว่าง “อดีต” กับ “อนาคต” โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ ของเรื่องที่ตัวละครแต่ละคนไม่ได้แบ่งชัดว่าใครคือพระเอก ใครคือตัวร้าย ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง และนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามัน “จริง” มาก ฉากแอ็กชันในเรื่องนี้ก็จัดเต็มแบบไม่เคยยั้งมือ แต่สิ่งที่ทำให้ผมติดตามไม่ใช่เพราะความมันอย่างเดียว มันคือฉากที่ตัวละครต้องตัดสินใจบางอย่างที่มันเจ็บปวดมาก เช่น จะเสียสละเพื่อนเพื่อความหวังของคนส่วนใหญ่ไหม จะยอมกลายเป็นปีศาจเพื่อหยุดสงครามไหม ผมว่าประเด็นแบบนี้มันสะท้อนโลกจริงได้ดีมาก และมันคือสิ่งที่ทำให้ Attack on Titan โดดเด่นเกินคำว่า “อนิเมะต่อสู้” อีกอย่างที่ผมอยากพูดถึงคือการเล่าเรื่องของเรื่องนี้ที่แทรกปริศนาไว้ตลอด แล้วค่อย ๆ คลายออกมาเป็นชั้น ๆ เหมือนหนังสืบสวน พอเราเริ่มรู้ความจริงบางอย่างแล้วกลับไปดูใหม่ เราจะมองเหตุการณ์เดิมในมุมที่ต่างออกไปทันที แบบว่ามีอะไรซ่อนอยู่เยอะมากจริง ๆ ซึ่งผมว่ามันคืองานเขียนที่โคตรละเอียดและคิดมาแล้วทุกเม็ด Attack on Titan ไม่ใช่อนิเมะที่ดูง่าย มันเต็มไปด้วยประเด็นที่ต้องคิดตาม อารมณ์ที่หนัก และตัวละครที่พร้อมจะตายได้ทุกตอน แต่ผมว่าความยากพวกนั้นคือสิ่งที่ทำให้มันพิเศษ มันคือเรื่องที่กล้าเล่าความจริงอันไม่สวยงามของโลก กล้าตั้งคำถามกับอำนาจ ความหวัง และการล้างแค้น โดยไม่กลัวว่าคนดูจะไม่เข้าใจ ผมจำได้ว่าตอนดูซีซันสุดท้าย ผมเงียบไปหลายวันมาก เหมือนมันพาเราไปเจอกับความรู้สึกที่เราไม่เคยเจอจากอนิเมะเรื่องไหน แล้วมันก็อยู่ในหัวไปนานกว่าที่คิด ยิ่งตอนที่เราเริ่มเข้าใจว่า “ไททัน” อาจไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างที่คิดตั้งแต่แรก แต่เป็นเพียงผลลัพธ์ของโลกที่แตกสลาย ผมว่ามันคือช่วงเวลาที่ Attack on Titan ไม่ใช่อนิเมะอีกต่อไป แต่มันคือบทเรียนของมนุษย์จริง ๆ ใครที่ยังไม่เคยดู หรือเคยดูแล้วแต่ดูไม่จบ ผมอยากให้ลองให้เวลากับมันอีกสักครั้ง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดูเพื่อความสบายใจ แต่มันคือเรื่องที่ทำให้เรา “โตขึ้น” ได้จริง ๆ รูปภาพปกทั้งหมดมาจาก x.com เจ้าของภาพ 「進撃の巨人」公式アカウント :|: ภาพปกที่ 1 รูปภาพประกอบทั้งหมดมาจาก x.com เจ้าของภาพ 「進撃の巨人」公式アカウント :|: ภาพประกอบที่ 1 | ภาพประกอบที่ 2 | ภาพประกอบที่ 3 | ภาพประกอบที่ 4 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !