“เอก รังสิโรจน์” ยก “อาฉลอง” เป็นต้นแบบ ภูมิใจสานวิชางานผู้กำกับ
“เอก รังสิโรจน์” ยก “อาฉลอง” เป็นต้นแบบ ภูมิใจสานวิชางานผู้กำกับ
นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบันเทิง ได้สูญเสีย “ฉลอง ภักดีวิจิตร” ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ผู้กำกับภาพยนตร์) ประจำปี พ.ศ. 2556 ด้วยโรคชราและมีอาการปอดติดเชื้อแทรกซ้อน ในวัย 93 ปี ด้านลูกศิษย์อย่างพระเอกรุ่นใหญ่ “เอก รังสิโรจน์” ได้เผยความรู้สึกถึง “อาฉลอง” ว่า...
“ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าคุณอาป่วย แต่เราก็เชื่อในความแข็งแรงของคุณอามาตลอด รู้สึกไวไป ได้เจอท่านครั้งสุดท้ายน่าจะเดือนที่แล้ว รอบแรกที่ไปเยี่ยมยังไหวอยู่ รอบล่าสุดที่ไปเยี่ยม เราก็ชมว่าคุณอาดูสดใสขึ้น ตอนท่านอยู่ที่บ้านแล้ว คุณอาเดินมาอยู่ข้างหลัง ท่านจะทำ ให้ลูกศิษย์เห็นว่าแข็งแรงขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วง เราเห็นคุณอาลุกได้หลังจากนอนอยู่บนเตียงมาหลายเดือน ผูกพันกับท่านมา 20 ปี ทุกภาพยังอยู่ในความทรงจำ ก้าวแรกที่เดินไปหาคุณอา ขอเล่นละครบู๊กับคุณอา ยังจำได้ทุกครั้ง คุณอาบอกว่าเล่นกล้ามหรือเปล่า พระเอกผมต้องกล้าม ผมก็บอกผมเล่นกล้ามครับคุณอา ผมจะไม่ค่อยได้คุยเรื่องเล่นกับคุณอา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงาน ไม่ถูกด่าก็บอกให้ทำอะไร
คุณอาเป็นต้นแบบของทุกเรื่อง โดยเฉพาะงานกำกับ แบบฉบับของคุณอาคงหาดูไม่ได้อีกแล้ว คุณอามีความใส่ใจถึงสิ่งที่จะไปถึงสายตาของพระประชาชนมากที่สุดในแต่ละวัน เขาจะสนใจอยู่ตรงหน้าฉาก ว่าสมบูรณ์แค่ไหนสมจริงแค่ไหน ตรงนั้นจะผลักดันนักแสดงทุกคนให้ใจฟังคุณอา
ภูมิใจมาก จะเก็บความภาคภูมิใจนี้ไปตลอดชีวิต มีบุญเหลือเกินที่ได้รู้จักกัน เคยดูหนังของท่านแล้ววันนี้เราได้ก้าวเท้าเข้ามาในตำนานชีวิตการสร้างละครของท่าน มีความภาคภูมิใจที่สุดของการเป็นอาชีพนักแสดง จะสืบสานวิชาการของอาฉลอง 20 กว่าปีโดนดุด่ามาหนักมาก ในวันนั้นที่เราไม่เข้าใจ ทำไมโดนหนักเหลือเกิน ผิดน้อยผิดมากโดนโทษ แต่เพื่อนนักแสดงคนอื่นไม่โดนเท่าเราก็แอบน้อยใจบ้าง ไม่ชอบอะไรผมหรือเปล่าผมโดนหนักมาก แต่ทุกวันนี้อยากจะกราบขอบพระคุณการดุด่าของอาวันนั้น มันทำให้ผมมีวันนี้ ทำให้ผมมีอาชีพ นอกจากนักแสดงยังได้ทำงานเบื้องหลัง วิชาที่ครูให้ประเสริฐเลิศล้ำเหลือเกิน จนหาอีกไม่ได้แล้ว
กราบขอบพระคุณตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นตัวเป็นตนได้ทุกวันนี้ จากเด็กที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยแล้วไม่มีแววด้วย แต่คุณอาก็ยังเมตตาเป็นอย่างยิ่ง เสียเวลากับผมมากไม่รู้เทคต่อกี่เทค แต่คุณอาก็ตั้งใจจะปั้นให้เป็นให้ได้ ถ้าไม่มีการเคี่ยวเข็ญจากคุณอาอย่างหนักหน่วงในวันนั้น ก็จะไม่มีวินัยกับตัวเรา ก็จะไม่มีการบอกต่อกับนักแสดงรุ่นหลัง ได้รู้จักวิถีในการสร้างคนของคุณอา บุญคุณของคุณอาในชาตินี้ จะไม่มีลืมไปจนชั่วชีวิต
คุณอาเป็นเหมือนพ่อเหมือนแม่ ครูบาอาจารย์ ที่ให้ชีวิตของผมได้อยู่ในวงการบันเทิง ตั้งแต่ก้าวแรกจนมาถึง 20 ปี คุณอาสนใจทุกรายละเอียดทุกตัวละคร มีอยู่ซีนหนึ่งที่ผมมักจะพูดบ่อยๆ กับเพื่อนแสดง มีนักแสดงสมทบเรื่องหนึ่งเขาไม่ได้แสดงมานาน แล้วเขาเล่นไม่ได้สักที นักแสดงท่านอื่นก็รอจนเขาบอกคุณอาว่าให้เปลี่ยนนักแสดงเถอะผมเล่นไม่ได้ คุณอาวางโทรโข่งทันที แล้วบอกว่า ในเมื่อผมเลือกคุณแล้ว เพราะฉะนั้นบทนี้ใครก็แทนคุณไม่ได้ ผมจะรอ จากนั้นเขาก็เล่นได้”