รีเซต

[รีวิวซีรีส์] "Avatar: The Last Airbender" แม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เต็มไปด้วยหัวใจจากต้นฉบับ

[รีวิวซีรีส์] "Avatar: The Last Airbender" แม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็เต็มไปด้วยหัวใจจากต้นฉบับ
แบไต๋
29 กุมภาพันธ์ 2567 ( 09:00 )
1.4K
อำนวยการสร้าง
อัลเบิร์ต คิม
แนว
แอ็กชันแฟนตาซี ผจญภัย ดราม่า
ความยาว
8 ตอน
our score
7.7

Netflix ประกาศข่าวน่าตื่นเต้นที่สุดข่าวหนึ่งออกมาเมื่อปี 2018 นั่นก็คือการดัดแปลงการ์ตูนแอนิเมชัน ‘Avatar: The Last Airbender’ เป็นเวอร์ชันไลฟ์แอ็กชัน ซึ่งเรียกความตื่นเต้นและความคาดหวังจากแฟน ๆ ไปพร้อมกัน เพราะนี่คือหนึ่งในการ์ตูนที่มีคนรักมากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแอนิเมชันที่ดีที่สุดจากช่อง Nickelodeon อีกด้วย

ปี 2024 นี้เมื่อซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ สตรีมมิงอย่างเป็นทางการ เรื่องราวจะยิ่งใหญ่ สนุกสนาน น่าติดตามสมการรอคอยหรือไม่ ลองมาดูกัน

เรื่องย่อ: ‘Avatar: The Last Airbender’ เล่าเรื่องราวของโลกที่คนบางส่วนมีความสามารถในการควบคุมธาตุธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ และหนึ่งในนั้นคือผู้ที่สามารถควบคุมทั้งสี่ธาตุได้ในคนเดียวนั่นก็คือผู้อวตาร ประชากรของทั้งสี่เผ่าอยู่ร่วมกันอย่างสันติตลอดมา แต่เมื่อถึงยุคหนึ่งเผ่าอัคคีกลับคิดรวมศูนย์อำนาจ ตั้งตนเป็นใหญ่เพื่อการปกครองเผ่าอื่น และในช่วงเวลาแห่งสงครามนี่เอง ผู้อวตารคนปัจจุบันที่ควรมาเกิดใหม่ในเผ่าวายุกลับหายตัวไป กลายเป็นช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีแห่งสงครามและช่วงเวลาที่ไร้ซึ่งผู้อวตาร

แต่แล้ววันหนึ่งสองพี่น้องแห่งเผ่าวารีใต้ ซอกกาและคาทาร่า ได้พบกับแอง เด็กชายปริศนาที่หลับใหลอยู่ในก้อนน้ำแข็งโดยบังเอิญ ก่อนจะพบว่าเขาคือผู้ควบคุมลมคนสุดท้ายแห่งเผ่าวายุ และยังเป็นผู้อวตารที่หายตัวไปกว่าร้อยปีอีกด้วย

ซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ ฉบับไลฟ์แอ็กชันของ Netflix อำนวยการสร้างโดย อัลเบิร์ต คิม (Albert Kim) จากซีรีส์ ‘Sleepy Hollow’ และ ‘Nikita’ โดยช่วงแรกนั้นได้ ไบรอัน โคเนียตซโก (Bryan Konietzko) และ ไมเคิล ดันเต้ ดิมาร์ติโน (Michael Dante DiMartino) สองผู้สร้างฉบับแอนิเมชันมาร่วมงานด้วย ก่อนพวกเขาจะประกาศถอนตัวจากซีรีส์เรื่องนี้เมื่อปี 2020 ถือเป็นข่าวที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แฟน ๆ ที่ติดตามข่าวการสร้างซีรีส์พอสมควร แต่เราก็ได้รับชมไลฟ์แอ็กชันอย่างเป็นทางการในที่สุด ซึ่งเกินความคาดหมายเพราะซีรีส์นั้นถูกดัดแปลงออกมาได้เป็นอย่างดี แถมยังเต็มไปด้วยหัวใจ และความใส่ใจในรายละเอียดอีกหลายอย่างที่สัมผัสได้ตลอดการรับชมทั้ง 8 ตอน

ด้วยความที่เป็นซีรีส์แนวแอ็กชันแฟนตาซี/ผจญภัย ทำให้ ‘Avatar: The Last Airbender’ ใช้ CG เข้ามาเป็นองค์ประกอบหลักในการสร้าง ซึ่งงานภาพก็ออกมาสวยงามไม่ขัดตา แม้จะมีบางจุดที่ลอยแบบเห็นได้ชัด (ส่วนใหญ่จะเป็นเมืองหรือฉากหลัง) แต่เมื่อดำเนินเรื่องไปกราฟิกก็เนียนตาขึ้น ในส่วนของพลังธาตุต่าง ๆ นั้นออกมาสวยงามสมจริงแบบไม่ติดใจอะไร

การออกแบบเมือง เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ไปจนถึงตัวละครต่าง ๆ ยังคงอ้างอิงมาจากต้นฉบับการ์ตูน ‘Avatar: The Last Airbender’ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลักหรือแม้แต่ตัวประกอบในเรื่องก็ถือว่าถอดแบบออกมาได้ค่อนข้างเป๊ะ แต่หากจะมีจุดที่เป็นข้อสังเกตอยู่บ้างก็คือความเนี้ยบเกินไปนี่แหละ เพราะในหลายตอนแม้จะผ่านการต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง แต่บรรดาตัวละครของเรากลับยังมีเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยม บางครั้งทรงผมก็แทบไม่เปลี่ยนเลยด้วย ถือเป็นจุดเล็ก ๆ ที่หากมีการปรับปรุงให้สมจริงขึ้นในซีซันต่อไปจะดีกว่านี้

นอกจากนี้หนึ่งในจุดเด่นของการ์ตูน ‘Avatar: The Last Airbender’ ก็คือสไตล์การต่อสู้ เพราะท่าทางการต่อสู้หรือการใช้พลังของแต่ละธาตุนั้นอ้างอิงมาจากศิลปะการต่อสู้ที่มีอยู่จริง ธาตุดินมาจากมวยสกุลหง ธาตุน้ำมาจากมวยไทเก๊ก ธาตุลมมาจากมวยปากว้าจ่าง และธาตุไฟมาจากมวยวัดเส้าหลินเหนือ ซึ่งในซีรีส์เรายังไม่ได้เห็นความสวยงามของการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละธาตุเท่าไร แต่ก็ชดเชยมาด้วยแอ็กชันที่ดุดัน สมจริง เจ็บจริงเผาจริงแม้จะไม่เห็นเลือดก็ถือว่ารุนแรงอยู่ไม่น้อยเลย

ทางด้านการเล่าเรื่องหากใครเป็นแฟนการ์ตูนอาจรู้สึกแปลก ๆ เพราะเนื้อหาถูกดัดแปลงและปรับเปลี่ยนใหม่เพื่อให้เหมาะกับการเล่ารูปแบบซีรีส์ ซึ่งก็มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี เพราะเนื้อหาบางตอนที่ปรับเปลี่ยนมาก็ไม่ได้ทำให้เรื่องราวสนุกขึ้น กลับรู้สึกเนือย ๆ ในบางช่วงด้วยซ้ำ นอกจากนี้ด้วยความที่ต้องรวบรัดเรื่องราวการ์ตูนซีซันแรกจำนวน 20 ตอน ให้เหลือแค่ 8 ตอน ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครทีมผู้อวตาร (แอง ซอกกา คาทาร่า อัปปา และโมโม) ค่อนข้างน้อย เราแทบไม่เห็นพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้ เคมีระหว่างกลุ่มตัวละครหลักยังไม่ดีเท่าไร นอกจากนี้อัปปาและโมโมก็ออกมาน้อยมากจนคนดูอาจจะยังไม่ทันหลงรักทั้งคู่เรื่องก็จบลงไปแล้ว

ทางด้านนักแสดงอาจจะยังมีปัญหาในส่วนของนักแสดงเด็กอยู่บ้าง เพราะพลังการแสดงยังออกมาไม่ดีพอ โดยเฉพาะแอง (รับบทโดยกอร์ดอน คอร์เมียร์ – Gordon Cormier) ที่ในพาร์ตสดใสทำได้ดีแต่ยังมีปัญหาเรื่องซีนอารมณ์ และคาทาร่า (รับบทโดย เกียเวนติโอ ทาร์เบลล์ – Kiawentiio Tarbell) ที่การแสดงของน้องยังไม่ส่งเท่าไร และยังสัมผัสความเป็นคาทาร่าจากน้องได้ไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าทั้งคู่รวมถึงนักแสดงรุ่นเด็กคนอื่น ๆ ในเรื่องยังมีพื้นที่ให้พัฒนาฝีมือและเติบโตต่อไปได้ในอนาคต

กลับกันเส้นเรื่องของเผ่าอัคคีอย่างซูโก (รับบทโดย ดัลลัส หลิว – Dallas Liu) และท่านลุงไอโรห์ (รับบทโดย พอล ซุน-ฮยอง ลี – Paul Sun-Hyung Lee) กลับน่าติดตามมากกว่า ทั้งคู่เคมีเข้ากันดี มีความเป็นลุงใจดีกับหลานอารมณ์ร้ายออกมาแบบพอเหมาะ โดยในซีรีส์เราได้เห็นซูโกแสดงด้านที่มีความเปราะบางและน่าเห็นใจออกมาชัดเจน ตัวละครจึงดูมีมิติน่าเอาใจช่วยและบางครั้งก็น่าหยุมหัวไปพร้อมกัน ส่วนเจ้าแห่งไฟโอไซ (รับบทโดย แดเนียล แด คิม – Daniel Dae Kim) นั้นก็ออกมาเลือดเย็นแบบไม่ต้องแสดงออกให้มากความ ฉากแอ็กชันที่เราเห็นในซีซันแรกก็ทำให้แอบคาดหวังถึงฉากแอ็กชันในอนาคตของเจ้าแห่งไฟคนนี้เลยทีเดียว

แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่ซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ ฉบับไลฟ์แอ็กชันก็ยังคงไว้ซึ่งหัวใจของเรื่องราวต้นฉบับได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการบอกเล่าความเจ็บปวด ความสูญเสีย และบาดแผลจากสงคราม เรื่องราวของครอบครัว มิตรภาพ การออกเดินทางเพื่อเรียนรู้ ค้นหาตัวเอง และการเติบโต สิ่งเหล่านี้ยังคงถูกถ่ายถอดออกมาได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญหากใครเป็นแฟนการ์ตูน เชื่อว่าระหว่างดูหลายคนต้องสนุกกับการตามเก็บอีสเตอร์เอ้กต่าง ๆ ในเรื่องแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร องค์ประกอบในฉาก หรือแม้แต่เพลงประกอบ ถือเป็นอีกหนึ่งความใส่ใจที่สัมผัสได้จากทีมงานของซีรีส์เรื่องนี้

สรุป

ซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ ของ Netflix เป็นอีกหนึ่งผลงานการดัดแปลงการ์ตูนแอนิเมชันสู่ฉบับคนแสดงได้อย่างน่าประทับใจ มีความใส่ใจในรายละเอียด และยังใส่หัวจิตหัวใจเข้าไปในการสร้างซีรีส์แบบสัมผัสได้ แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบเต็มร้อย การแสดงและเคมีของนักแสดงยังมีปัญหาอยู่บ้าง รวมถึงมีช่วงอืดเอื่อยตอนกลางเรื่อง แต่ก็ชดเชยด้วยความดีงามจากองค์ประกอบอื่น ๆ มาช่วยให้เราดูได้จนจบ และรู้สึกอยากดูซีซันต่อไปเลยทันที ที่สำคัญพากย์ไทยดีมากลองเปิดดูกันได้เลย

สามารถรับชมซีรีส์ ‘Avatar: The Last Airbender’ ทั้ง 8 ตอน (มีพากย์ไทยและซับไทย) รวมถึงฉบับการ์ตูนแอนิเมชันทั้ง 3 ซีซัน (มีพากย์ไทยและซับไทย) และภาค ‘The Legend of Korra’ (มีซับอังกฤษ) ได้ทาง Netflix