รีวิวซีรีส์ฮอลลีวู้ด Alien: Earth (2025) เหมือนเอาความคลาสสิคมาขยายความที่เป็นได้ทั้งงานบูชาครูและเป็นได้ทั้งจุดเริ่มต้นที่คงความสนุกสยองตื่นเต้นลุ้นระทึกแทบลืมหายใจได้ทุกอณู รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ถ้าเอ่ยถึงหนังชุด Alien ที่เริ่มต้นความสยองมาตั้งแต่ปี 1979 หรือสี่สิบหกปีที่แล้วและเชื่อว่าหลายท่านที่อ่านบทความนี้อาจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำนับเป็นแฟรนไชส์หนังชุดหนึ่งที่ผู้เขียนติดตาม เพราะหลังจากที่ได้ดูภาคแรกผ่านทางม้วนวีดีโอก็ตามดูภาคต่อๆมาเรื่อยๆแต่ถ้าจะว่ากันเป็นการส่วนตัวผู้เขียนชอบภาค 1-4 มากคือเรื่องราวมันควรสิ้นสุดที่ Alien: Resurrection (1997) เพราะนั่นคือภาคสุดท้ายที่ตัวละครแม่บุญรอด Ripley ของ Sigourney Weaver โลดแล่นบนจอต่อกรกับเจ้า Xenomorph แน่นอนหลังจากนั้นผู้เขียนก็ดูหนังตระกูลนี้เรื่อยมาทั้งภาคแยกภาคก่อนหรือการครอสโอเวอร์ไปจอกับอีกหนึ่งตัวละครที่เป็นไอคอนของโลกภาพยนตร์จากหนัง AVP ทั้งสองภาค ซึ่งมันก็ยังเป็นหนังที่ดูสนุกแต่ความคลาสสิคมันหายไปแล้วเพราะเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานหนังที่ออกมาตามหลังจึงกลายเป็นความบันเทิงที่ผ่านมาแล้วผ่านไปไม่เก็บมาเข้าฝันเหมือนหนังชุดดั้งเดิม แต่มาวันนี้การที่มีการทำเป็นซีรีส์ที่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวทั้งหมดกลับหวนคืนความคลาสสิคอีกครั้ง ปี 2120 ยานสำรวจอวกาศ USCSS Maginot ของบริษัท Weyland-Yutani กำลังเดินทางกลับสู่โลกพร้อมกับตัวอย่างสิ่งมีชีวิตต่างดาวแล้วความผิดพลาดบางอย่างทำให้สัตว์ร้ายจากอวกาศอาละวาดในยานจนยานเสียการควบคุม ในขณะที่บนโลกที่เกาะ Neverland ของมหาเศรษฐีอัจฉริยะ Boy Kavalier (Samuel Blenkin) เจ้าของบริษัท Prodigy ได้ทำการทดลองนำเด็กป่วยระยะสุดท้ายมาเป็นมนุษย์ไฮบริดรุ่นแรกที่ได้ชื่อว่า Wendy (Sydney Chandler) แล้วเมื่อยาน Maginot ตกสู่พื้นโลกในเมือง New Siam ในพื้นที่ของ Prodigy ก็กระตุ้นความอยากยึดครองตัวอย่างต่างดาวที่มากับยานของ Boy Kavalier เขาจึงส่งทีมทหารเข้าไปและหนึ่งในนั้นคือ Joe Hermit (Alex Lawther) พี่ชายของ Wendy โดยที่ทีมไม่รู้ว่ามีตัวอย่างหนึ่งหลุดออกมาและมันคือ Xenomorph แต่แล้วเมื่อ Wendy ที่มีความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆทราบว่าพี่ชายของเธอตกอยู่ในอันตรายเธอจึงร้องขอเข้าไปช่วยและ Boy Kavalier ก็อนุญาตแบบมีเลศนัย เหมือนเอาของเก่าคลาสสิคมาขยายความเรื่อง Peter Pan ที่เป็นไอเดียสุดเจ๋งทำให้ในความคลาสสิคเป็นความสดใหม่ เอาจริงหนังชุด Alien เนื้อหาก็จะหนีไม่พ้นการเอาชีวิตรอดจาก Xenomorph ที่จะมีทุกอย่างที่เป็นของมันต้องมีเช่นเจ้าตัว Facehugger เกาะหน้าเพื่อแหกอกออกมาเป็นสัตว์ร้ายทำลายมนุษย์ และเรื่องนี้ก็เอาความคลาสสิคที่มีในหนังมาขยายความให้มีเรื่องให้เล่ามากขึ้นให้รู้ที่มาของหายนะจากต่างดาว โดยที่วางตัวเองลงบนแรงบันดาลใจจาก Peter Pan ทั้งชื่อตัวละครและตัวละคร Boy Kavalier ที่เป็นเด็กไม่รู้จักโตแถมด้วยตัวเอกที่ชื่อ Wendy มันจึงกลายเป็นไอเดียสุดเจ๋งที่ทำให้เห็นภาพชัดขึ้นเมื่อหายนะเกิดขึ้นจากความไม่รู้จักคิดและอยากแสดงว่าฉลาดเกินใคร นั่นทำให้ในของเก่าคลาสสิคที่หยิบเอามารังสรรค์ในบทของการเป็นซีรีส์มันดูสดใหม่จะว่าไม่ยึดติดก็ไม่ใช่เพราะฉาก เสื้อผ้าหน้าผม อุปกรณ์ต่างๆยังเชื่อมโยงกับงานต้นฉบับได้ ที่ทำสำคัญคือนี่คือที่มาที่เชื่อมโยงกับงานต้นฉบับได้ดีเลยแม้จะยังไม่เชื่อมถึงกันคือยังทิ้งท้ายไว้ไปต่อก็ตาม โหดกว่ารุนแรงกว่ามีเวลาให้เล่ามากกว่าเหมือนว่าเป็นการดูหนังย่อยๆในแต่ละตอนที่ลุ้นระทึกแทบลืมหายใจในอารมณ์เดิมที่โหยหา เมื่อมีเวลาเล่ามากขึ้นก็ทำให้ไม่ต่างจากการดูหนังภาคย่อยต่อๆกัน คือแต่ละตอนจะลุ้นระทึกตามอารมณ์ที่ควรมีในหนังชุดนี้และยังทำได้ดีเพราะแต่ละตอนที่ใส่มาก็ระดมความตื่นเต้นลุ้นระทึกแทบลืมหายใจในแบบที่เคยได้รับมาจากหนังใหญ่มาให้เต็มพิกัด แถมยังเหมือนเล่นใหญ่ขึ้นอาจเพราะมีเวลาเล่ามากขึ้นและที่น่าแปลกใจคือการใส่ความรุนแรงที่มากกว่าโหดกว่าหนังใหญ่เสียอีกที่มาด้วยบรรยากาศและโทนเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ กระนั้นก็ยังไม่ทิ้งตัวตนเมื่อมีบางตอนที่กลับขึ้นไประทึกใจบนยานที่เหมือนกลับสู่รากฐานของหนังชุดนี้ที่เป็นการเคารพต้นฉบับเต็มที่ส่วนจะเป็นตอนไหนให้ไปดูเอง ยัง...ยังไม่พอเมื่อเวลาเล่ามากก็ทำให้ไม่ใช่มีความสะพรึงแค่ Xenomorph เพราะมีสายพันธุ์อื่นที่น่าสยองและยังมีความน่าขนลุกจากตัวละครและจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Xenomorph หลุดออกมาไม่อยู่ในสถานที่ปิดตายอีกต่อไปก็วุ่นวายกันไปเลยสิทีนี้ ระดมปริศนาในตัวละครมาเต็มที่จนไม่เหลือเนื้อที่ความไว้ใจเพราะไม่รู้ว่าใครดีใครร้ายใครคือสัตว์ประหลาดตัวจริง สิ่งที่เป็นจุดขายหนึ่งของแฟรนไชส์นี้คือความน่าสงสัยไม่น่าไว้ใจยกเว้นตัวละครเดียวคือ Ripley ที่เป็นเอกสตรีเป็นตัวเอกที่ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตรอดแล้วก็รอดได้ นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนมนุษย์หรือไซบอร์กล้วนแล้วแต่ไม่น่าไว้ใจเหมือนมีเลศนัยว่าจะมีอะไรซ่อนเบื้องหลัง แล้วเรื่องนี้ก็มาเต็มพิกัดกับความไม่น่าไว้ใจยกเว้นพวกตัวละครรอตายที่ไว้ใจได้เลยว่าไปแน่แค่จะเร็วจะช้า ซึ่งไอ้ความไม่น่าไว้ใจในเรื่องนี้ดันไปมีที่ตัวเอกอย่าง Wendy ที่รับบทโดย Sydney Chandler ที่เริ่มต้นดีและได้ใจคนดูแต่เมื่อเวลาผ่านไปการแสดงและบทที่มีพัฒนาการก็ทำให้ตกลงเธอเป็นอะไรกันแน่ และท้ายที่สุดเธอจะอยู่ฝั่งไหนโดยมีตัวละครที่ไว้ใจได้เลยว่าชั่วอย่าง Boy Kavalier ของ Samuel Blenkin รวมถึงไว้ใจได้เลยว่าดีอย่าง Joe Hermit ของ Alex Lawther ที่สำคัญคือพวกเด็กหลงที่รับบทเด็กในร่างผู้ใหญ่ได้เนียนตาดีเหลือเกินและแน่นอนไม่น่าไว้ใจ เป็นความบันเทิงที่สุดจัดเห็นชัดว่าเคารพของเดิมในแบบการบูชาครูที่มีความเป็นตัวเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ผูกพันแนบชิดกับต้นฉบับ สุดท้ายถ้านับกันที่ความคุ้มค่ากับการดูต้องบอกว่าทุกวินาทีจากใจแฟนรุ่นเก่าที่ไม่อยากเอาหนังภาคใหม่ๆมานับรวมได้ เพราะหนังภาคใหม่ๆในช่วงหลังเหมือนเป็นลูกนอกสมรสที่พยายามจะเป็นแต่มันขาดความคลาสสิคที่ก็เขาใจว่า Sigourney Weaver ก็ปูนนี้แล้วจะมาวิ่งหนี Xenomorph ในวัยรับเบี้ยคนชราก็คงใช่ที่ แต่กับงานระดับซีรีส์กลับสามารถยกระดับความพึงพอใจให้กับแฟนดั้งเดิมอย่างผู้เขียนได้นั่นเพราะเห็นความชัดเจนในการบูชาครูเคารพต้นฉบับ แน่นอนด้วยเนื้อหาที่เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นเป็นจุดเริ่มที่สามารถต่อยอดออกไปได้มีความเป็นตัวเองแต่ความรู้สึกกลับเหมือนแนบชิดสนิทใกล้กับของเก่าฉบับคลาสสิค แล้วในส่วนของความบันเทิงก็คือสุดขีดที่ควรมีคือเอาที่ความตื่นเต้นระทึกขวัญยังคงยึดมั่นที่จะมาแบบเดิม แต่ว่าด้วยเวลาที่ผ่านไปเงื่อนไขบางอย่างผ่อนคลายความโหดสยองจึงจัดหนักกว่าเลยกลายเป็นคุ้มค่าทุกวินาที ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3 / ภาพที่ 4,5,6 / ภาพที่ 7 จาก Instagram alienearthfx จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !