Series Review Forget You Not (2025) ไม่มีวันลืมเลือน ดราม่าครอบครัวเรื่องพื้นๆบ้านๆสไตล์งานไต้หวันที่ท็อปฟอร์มทั้งผู้กำกับ "เรเน่ หลิว" และการแสดงของ "ซี่หยิงซวน" กับ "ฉินฮั่น" จนเป็นงานที่ควรดูก่อนตาย รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! อย่างที่ทราบๆกันคือถ้าเป็นหนังหรือซีรีส์ไต้หวันผู้เขียนจะไม่ลังเลเลยที่จะดูอาจจะไม่ถึงขนาดที่กระโดดใส่แต่ยังไงต้องดูอาจเก็บไว้รอเวลาว่างจึงค่อยดูไม่มีปฏิเสธ อีกอย่างที่น่าจะทราบคือวงการบันเทิงไต้หวันดูเหมือนค่อนข้างเล็กนักแสดงดูคุ้นตามากมายทำให้กลายเป็นได้ติดตามผลงานกันโดยไม่ตั้งใจก็มีเช่นเธอคนนี้ซี่หยิงซวน ที่ผู้เขียนเห็นเธอแสดงเป็นภรรยาปากปลาร้าของเกย์ที่ทอดทิ้งเธอไปอยู่กับเกย์อีกคนที่เขารักในหนังเรื่องยี่ยมอีกเรื่องของไต้หวัน Dear Ex (2018) จากนั้นก็ได้ดูผลงานของเธอเรื่อยมาแบบไม่ตั้งใจแหละสารภาพตรงนี้ตั้งแต่ Little Big Women (2020),Eye of the Storm (2023) และล่าสุดก็ซีรีส์ Born for the Spotlight เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเอาจริงคือผู้เขียนเองชอบแนวดราม่าที่เล่าเรื่องเรียลๆอยู่แล้วแล้วบทบาทที่ได้ผ่านตามาของซี่หยิงซวนก็เป็นบทบาทที่แตกต่างทางดราม่าที่เห็นฝีมือการแสดงที่ชัดว่าจัดจ้านขนาดไหนเพิ้งก็ได้สวยก็ดูดี จนคราวนี้ยอมรับว่าที่ดูซีรีส์เรื่องนี้อาจเพราะเป็นซีรีส์ไต้หวันก็ใช่แต่ตั้งใจดูเธอคนนี้แสดงซี่หยิงซวน เฉิงเล่อเล่อ (ซี่หยิงซวน) นักแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟนที่แจ้งเกิดจากการเล่าเรื่องความซวยของตัวเองให้กลายเป็นเรื่องตลกให้คนที่มาดูเธอได้หัวเราะและผ่อนคลาย แต่ตัวเธอเองกลับกำลังมีปัญหาชีวิตสมรสกับจางข่าย (วอลเลซ ฮั่ว) ที่ง่อนแง่นเมื่อเธอไม่สามารถเข้าถึงสังคมของสามีที่เป็นทนายส่วนความสัมพันธ์กับเฉิงกวงฉี (ฉินฮั่น) พ่อของเธอก็คือความห่างเหิน นั่นหมายความว่าบนเวทีที่เธอเล่าเรื่องตลกให้คนหัวเราะมันคือชีวิตรันทดของเธอเองที่ตัวเองหัวเราะไม่ออกเพราะแม้จะมีสามีที่เป็นทนายแต่เธอต้องทำงานสองอย่างอีกอย่างอย่างคือการเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อที่ดูเหมือนใช้ชีวิตสบายๆตามสายลมเหมือนไม่รู้จักโตในสายตาเฉิงเล่อเล่อเริ่มมีอาการป่วยด้วยโรคสมองเสื่อม เฉิงเล่อเล่อที่เป็นลูกคนเดียวจึงต้องมาดูแลพร้อมความหนักหนายิ่งขึ้นในชีวิตเมื่ออาการป่วยของพ่อของเธอแย่ลง แต่ที่เธอได้รับกลับมาคือความทรงจำที่สวยงามของเธอกับพ่อที่เฉิงเล่อเล่อพยายามกลบฝังไปในขณะที่ความทรงจำของพ่อเธอเริ่มหายไปทีละน้อย จัดว่าท็อปฟอร์มสำหรับ "เรเน่ หลิว" กับดราม่าแบบบ้านๆเรื่องพื้นฐานในชีวิตที่มีลำต้นที่แข็งแรงและมีกิ่งก้านสาขาที่สวยงาม นี่คือผลงานการกำกับควบเขียนบทเองของเร่เน่ หลิวที่เคยสร้างงานระดับมาสเตอร์พีซที่ประสบความสำเร็จในทุกทางจนเป็นที่ควรดูสักครั้งถ้าชอบหนังรักอย่าง Us and Them (2018) และนั่นคืองานกำกับหนังเรื่องแรกและเรื่องเดียวของนักร้องนักแสดงมากความสามารถคนนี้ แล้วคราวนี้เธอมากำกับงานซีรีส์ขนาดยาวเป็นเรื่องแรกเร่เน่ หลิวยังคงท็อปฟอร์มในการเล่าเรื่องที่ละเอียดละเมียดสละสลวยและกับเรื่องนี้ยิ่งมีเวลาให้เธอเล่าได้เต็มที่ ซึ่งถ้าจะมองให้ลึกโครงสร้างของบทของเรื่องนี้ยังไม่ต่างจาก Us and Them ด้วยการมีแก่นของเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ที่เป็นลำต้นที่แข็งแรงคือเรื่องของช่องว่างทางความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก แล้วแตกกิ่งก้านสาขาที่งดงามด้วยเรื่องของความรัก ชีวิตคู่และมิตรภาพของเพื่อนแท้โดยที่กิ่งสาขาเหล่านั้นก็แตกกิ่งย่อยออกดอกใบที่สวยงามทำให้ต้นไม้ดราม่าครอบครัวที่เหมือนเห็นทั่วไปนี้สวยงามสมบูรณ์แบบ เรียบง่ายไม่ฟูมฟายตามสไตล์ไต้หวันแต่เลือกซาบซึ้งกินใจให้แง่มุมความคิดในการใช้ชีวิตช่วงหนึ่งซึ่งมันดูจริงไม่อิงความปรุงแต่ง เพราะงานจากไต้หวันจะเรียบง่ายเล่าเรื่องง่ายๆเรื่องพื้นฐานเรื่องบ้านๆเหมือนเอาเรื่องอาแปะข้างบ้านมาเล่าไม่ต่างจากเรากำลังสอดรู้เรื่องของคนข้างบ้าน นั่นคืองานจากไต้หวันจะมีภาวะเป็นจริงที่ไม่เคลือบความปรุงแต่งเพราะเหมือนจะเป็นชีวิตจริงที่อาจสามารถเกิดขึ้นได้กับใครก็ได้และเรื่องนี้ยังเป็นแบบนั้น อีกอย่างที่ทำให้ดูดีคือการไม่พยายามฟูมฟายทั้งที่สามารถบดขยี้ให้น้ำตาไหลเป็นสายได้แต่เลือกที่จะเอาแค่คลอๆซึมๆเพราะความคิดที่ถูกกระตุ้นเตือนในเรื่องของความทรงจำ และส่วนสำคัญที่ทำให้เป็นแบบนี้คือการที่ไม่เห็นความปรุงแต่งที่ทำให้ภาพหรือสถานการณ์ที่เห็นในเรื่องมันเหมือนกับชีวิตช่วงหนึ่งที่เราเองอาจต้องเจอเข้าในสักวัน อย่างเรื่องนี้บอกเลยว่าแค่เรื่องการดูแลผู้ป่วยหรือคนแก่สักคนนั้นมันหนักหนาสาหัสขนาดไหนคนที่เคยจะรู้ดีแล้วบทก็สามารถเอาเรื่องนี้มาเป็นแง่คิดในการใช่ชีวิตผ่านเรื่องง่ายๆคือความทรงจำ เมื่อความทรงจำของคนที่เรารักกำลังจะหายไปแม้กระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับเราที่เราทำได้คือวางเขาไว้ที่ไม่มีวันลืมเลือน มันอาจไม่สำคัญว่าคนที่เรารักจะจำเราได้หรือไม่แต่สิ่งสำคัญอาจอยู่ที่เราไม่มีวันลืมเขาไปจากความทรงจำ ที่ผู้เขียนชอบมากในเรื่องนี้คือเรื่องของการทดแทนความทรงจำที่ขาดหายไปของเฉิงเล่อเล่อที่พยายามลบความทรงจำบางอย่างโดยจงใจ แต่ความทรงจำนั้นมันยังคงฝังลึกอยู่ข้างในที่ไม่มีวันลืมได้เช่นเดียวกับความทรงจำที่ดีที่มีกับพ่อและในวันที่ความทรงจำของพ่อในทุกเรื่องเริ่มลางเลือนแม้กระทั่งในวันหนึ่งพ่อก็จะลืมแม้กระทั่งเธอ แน่นอนชีวิตที่ผ่านมาเธอพยายามตั้งกำแพงที่ขวางระหว่างเธอกับพ่อแต่แล้วการได้ใช้ชีวิตช่วงที่ยากลำบากที่เป็นทุกข์กลับสามารถกลายเป็นความสุขเมื่อหวนรำลึกถึงสิ่งดีๆที่เคยมีร่วมกันมา เช่นกันที่ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเฉิงเล่อเล่ออาจประสบชะตากรรมเดียวกับพ่อคือภาวะสมองเสื่อมที่ความทรงจำจะค่อยๆเลือนลางแต่อย่างน้อยเธอก็วางพ่อของเธอไว้ในที่ที่ไม่มีวันลืมเลือนจนกว่าอาการป่วยจะมาพรากมันไป การแสดงที่ยอดเยี่ยมเหนือจินตนาการของ "ซี่หยิงซวน" กับ "ฉินฮั่น" จนอาจไม่มีใครมาแทนได้ในบทบาทของสองคนนี้ นี่คือการเขียนบทที่ยอดเยี่ยมสามารถเก็บรายละเอียดทางอารมณ์ได้ครบทั้งมุมที่สวยงามและมุมที่หดหู่ แต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์ของเรื่องไปถึงระดับที่คนดูถูกสะกดตอกตรึงอยู่กับเรื่องที่เล่านั่นคือการแสดงที่ยอดเยี่ยมเหนือจินตนาการของสองเสาหลักซี่หยิงซวนในบทเฉิงเล่อเล่อกับฉินฮั่นในบทเฉิงกวงฉีพ่อผู้ที่ความทรงจำกำลังจะเลือนหาย แน่นอนว่าบทที่สามารถซ้อนมิติและความหมายไว้หลายชั้นแต่การสื่อสารของนักแสดงก็สำคัญอย่างยิ่งยวด เอาตรงๆคือคงไม่สามารถบรรยายความยอดเยี่ยมในทุกอารมณ์ทุกฉากทุกซีนที่เต็มไปด้วยพลังได้เอาเป็นว่าผู้เขียนคิดว่าคงไม่มีใครมาแสดงเป็นเฉิงเล่อเล่อผู้สามารถแปรความรันทดมาเป็นเสียงหัวเราะได้หรือสามารถยิ้มทั้งกล้ำกลืนได้นอกจากซี่หยิงซวน ในขณะดียวกันก็ต้องไม่ลืมการพยายามเรียกความทรงจำที่จากไปไกลให้กลับมาผ่านการแสดงของฉินฮั่นได้เช่นกันที่ทำให้เรื่องนี้คือความยอดเยี่ยม เพราะนี่คือเรื่องที่จับต้องสัมผัสได้เป็นอารมณ์ขันร้ายๆที่เล่าเรื่องรันทดให้อบอุ่นสวยงามเติมเต็มความทรงจำในทุกแง่มุมอย่างทรงคุณค่า เอาจริงนี่คือซีรีส์ดราม่าจัดๆเต็มไปด้วยความรันทดในหนึ่งชีวิตของคนหนึ่งคนคือเฉิงเล่อเล่อที่ถ้าไม่ใช่เธอก็อาจเป็นใครก็ได้แม้กระทั่งคนดูเอง เพราะความที่จับต้องสัมผัสได้แม้ว่าเรื่องของความทรงจำที่กำลังจะหายไปที่มาเพื่อเรียกความทรงจำที่ขาดหายไปมาเติมเต็มความสัมพันธ์อาจมีคนเล่ามาแล้วมากมาย แต่ด้วยความที่เล่าได้สมจริงประหนึ่งชีวิตจริงเรื่องที่เหมือนเคยๆเลยกลายเป็นเรื่องที่ตราตรึงได้ และสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้คือความต่างคือการพยายามมองเรื่องรันทดแบบนักหนาสาหัสที่เฉิงเล่อเล่อเจอให้เป็นอารมณ์ขันผ่านการเล่าเรื่องที่ร้ายกาจด้วยการที่ให้เฉิงเล่อเล่อเอาเรื่องตัวเองและคนรอบข้างมาเผาในการแสดงตลกเดี่ยวไมโครโฟน สิ่งที่เป็นคือสามารถสร้างอารมณ์ขันจากเรื่องที่ไม่น่าจะขันออกได้ลงตัวนั่นคือการเล่าเรื่องจากสายตาของตัวละครที่สามารถจับใจคนดูได้จนสามารถเข้าถึงตอกตรึงในความทรงจำไม่มีวันลืมเลือน ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram netflixtw เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !