Movie Review The Killer สวยกล้าบ้าระห่ำ (2024) การรีเมคของคลาสสิคโดยเจ้าของความคลาสสิคที่กลายเป็นความบันเทิงแบบถูๆไถๆและกรุณาอย่าเอาไปเทียบกับของเก่า สำหรับคนที่โตมากับหนังจีน (ฮ่องกง) อย่างผู้เขียนหรือคนในวัยเดียวกับผู้เขียนขึ้นไปเชื่อเถอะว่าส่วนมากมีหนัง John Woo อยู่ในดวงใจอย่างน้อยหนึ่งเรื่องซึ่งผู้เขียนมีมากกว่าหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในความคลาสสิคจากฝีมือ John Woo ในใจผู้เขียนย่อมต้องมี The Killer (1989) หรือชื่อไทยว่าโหดตัดโหดอยู่ในนั้น แน่นอนเมื่อของมันขึ้นหิ้งคลาสสิคย่อมต้องมีความพยายามเอามาเล่าใหม่ซึ่ง John Woo เคยลองมาแล้วใน Manhunt (2017) ที่ปรับโครงเรื่องเล็กน้อยและแน่นอนว่ายังก้าวไปไม่ถึงระดับที่ของเดิมเป็น จนมาล่าสุดเจ้าของความคลาสสิคก็เอาความคลาสสิคมีรีเมคอีกครั้งที่คราวนี้พยายามคงโครงเรื่องไว้ให้มากที่สุดแต่เปลี่ยนบริบทและรายละเอียดบ้างเพื่อความร่วมสมัยโดยใช้ชื่อเดียวกัน โดยได้ Nathalie Emmanuel (Ramsey จากหนังตระกูล Fast) มารับบทของโจวเหวินฟะส่วน Omar Sy (จอมโจรลูแปง) มารับบทของหลี่ซิ่วเสียนและ Diana Silvers มารับบทของเยี่ยเชี่ยนเหวิน ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นไปว่ากันตามนี้ Zee (Nathalie Emmanuel) นักฆ่าสาวเจ้าตำนานเจ้าของฉายาราชินีแห่งความตายได้รับมอบหมายให้ไปสังหารชายห้าคนในคลับจากคนกลางคือ Finn (Sam Worthington) ซึ่งเธอก็จัดการทุกอย่างด้วยดี ทว่าหนึ่งคนที่อยู่ในคลับนั้นเป็นนักร้องสาวชื่อว่า Jenn (Diana Silvers) ที่โดนลูกหลงจนตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น แน่นอน Finn ต้องการให้ Zee ไปเก็บงานเพราะจะมีพยานไม่ได้แล้ว Zee ที่โรงพยาบาลเธอก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ Sey (Omar Sy) ตำรวจตงฉินพันธุ์ระห่ำที่กำลังตามสืบคดีค้ายาเสพติดที่มีการปล้นเฮโรอีนมูลค่ามหาศาลของเจ้าพ่อแห่งปารีส Gobert (Eric Cantona) แต่แล้วเมื่อ Zee ไม่ได้เก็บงาน Finn จึงต้องส่งคนอื่นมาทำแทนแต่ Zee ที่มโนธรรมในใจผุดขึ้นมาบอกให้ไปช่วย Jenn และคุ้มครองเธอ ทว่า Jenn กลับไปพัวพันกับการปล้นยาเสพติดครั้งนั้นทำให้ Finn ปล่อยเธอไว้ไม่ได้แต่อุปสรรคที่ขวางเขาไว้คือ Zee แล้ว Zee จะทำอย่างไรเมื่อต้องปกป้อง Jenn และทางเจ้าหน้าที่ Sey ก็สืบคืบหน้าเข้ามาใกล้เธอเต็มที่ คงเค้าโครงเดิมไว้อย่างแน่นหนาแต่ว่าพยายามใส่มิติความซับซ้อนเข้ามาให้มีความลึกแต่มันดันกลายเป็นความเบาบาง เพราะนี่คือการรีเมคจากของเก่าที่เล่าเรื่องของหนึ่งนักฆ่าผู้มีมโนธรรมและพร้อมจะไถ่บาปกับตำรวจพันธุ์หมาบ้ากัดไม่ปล่อยที่คั่นกลางโดยหญิงงาม โครงเรื่องคลาสสิคนี้ยังแข็งแรงตัวละครยังเป็นอย่างที่ควรเป็นแต่ปรับมาเป็นตัวละครผู้หญิงเป็นนักฆ่าเท่านั้น แล้วแทนที่จะเดินเรื่องแบบตรงไปตรงมาเหมือนต้นฉบับแต่เลือกใส่ความซับซ้อนทางเหตุการณ์ที่พัวพันกันโดยมีศูนย์กลางที่ยาเสพติด และนั่นคือการโฟกัสผิดที่เพราะของเดิมจะลงลึกที่ตัวละครการที่ตัวละครมีอะไรให้ทำเยอะก็ไม่มีเวลามาลงลึกในสิ่งที่ควรลึกนั่นคือมิติการเป็นคนละด้านของกระจกของนักฆ่าและตำรวจ ผลของมันมาจากการที่พยายามเล่าให้ซับซ้อนจนกลายเป็นมีเรื่องอยากเล่ามากแต่เหมือนลมที่พัดผ่านหูมันไม่เขาไปในใจ ทำให้ทุกอย่างที่ออกมากลายเป็นความเบาบางเต็มไปด้วยช่องว่างระหว่างเรื่องที่มาสัมผัสกันคือถ้าไม่มีความซับซ้อนเหล่านั้นเรื่องก็ไม่เสียทำให้คิดเลยว่าไม่รู้ว่าจะพยายามยากมันไปทำไม เป็นความบันเทิงแบบถูๆไถๆไปได้แค่ระดับหนังแอ็กชันเกรดบีที่ไม่เหลืออะไรให้ตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว แน่นอนหนังยังเป็นหนังแอ็กชันสไตล์ John Woo ที่เต็มไปด้วยลายเซ็นทั้งภาพสโลว์ นกพิราบ โบสถ์ ท่ายิงปืนสองมือ หรือการยิงปืนไถลไปตามพื้นและอื่นๆอีกมากมาย แต่ของเหล่านี้มาในวันที่หนังแอ็กชันไปไกลกว่านี้มากแล้วสไตล์ของ John Woo อาจดูล้าสมัยแต่ความเก่าก็เก๋าได้ถ้าเล่นให้ถูกที่อย่างที่ Bad Boys: Ride or Die เพิ่งทำให้เห็น ส่วนเรื่องนี้ยังเป็นงานแอ็กชันที่คุ้นตาเหมือนไม่เหลืออะไรให้ตื่นใจแต่ความที่มันดูดีดูสวยก็ยังมอบความบันเทิงให้ได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าคนรุ่นใหม่ที่โตมากับหนัง Jason Bourne หรือกระทั่ง John Wick จะยังสนุกอยู่หรือไม่แต่สำหรับผู้เขียนแล้วอะไรที่มันโอลด์สคูลแบบนี้ยังเป็นความบันเทิงได้ แต่ก็ต้องทำใจว่าเมื่อหนังได้ดาราที่ไม่ดังมากมาเล่นการเล่าเรื่องก็แห้งแล้งไม่มีมิติใดๆให้จับต้องหรืออาจเรียกว่าตัวละครไม่ได้ใจ ทำให้ในความสนุกมาจากฉากแอ็กชันสาดกระสุนใส่กันไม่ยั้งที่ยังดูเพลินเหมือนไปงานเลี้ยงรุ่นมัธยมรำลึกอดีต แต่เมื่อไม่มีใจเผื่อให้ตัวละครคือไม่เอาใจช่วยใดๆความบันเทิงที่ได้ก็มาแบบถูๆไถๆไปเทานั้นปานหนังแอ็กชันเกรดบีที่ John Woo เคยเอาหนังของตัวเองไปรีเมคลงม้วนวีดีโอสมัยที่ไปฮอลลีวู้ดใหม่ๆเท่านั้น พลังดาราที่ยังไม่เข้าขั้นเคมีที่ไม่ลงตัวทำให้มิติที่ควรมีก็ไม่มา สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าคิดผิดอย่างแรงคือการเปลี่ยนตัวละครนักฆ่าให้เป็นผู้หญิงซึ่งถ้าเป็นเรื่องอื่นจะไม่เป็นไรแต่นี่มันคือบทที่เคยมีมิติมาก แรกเลยคือ Nathalie Emmanuel พลังดารายังไม่มีแถมยังถ่ายทอดความสับสนใจใจไม่ได้แม้ว่าในบทนักฆ่าจะไม่กังขาเท่าไหร่ ส่วน Omar Sy เป็นได้แค่ตำรวจบ้าพลังเคมีทั้งคู่ไม่เข้ากันไม่เหมือนกับการเป็นภาพสะท้อนในกระจกของกันและกันหนึ่งสุขุมกับหนึ่งมุทะลุอย่างที่โจวเหวินฟะกับหลี่ซิ่วเสียนเป็น แถมบท Jenn ยังถูกลดความสำคัญไปในทางหัวใจแต่ไปใส่ไว้ในการพัวพันกับเรื่องเบื้องหลังสามตัวละครหลักจึงเหมือนไปคนละทางไม่เห็นมิติเชิงลึกทางความสัมพันธ์ใดๆ ทำให้ความน่าจดจำไปอยู่ที่บทของ Sam Worthington ที่อดคิดไม่ได้ว่าตอนเป็นพระเอกดาวรุ่งทำไมไม่แสดงให้ได้ระดับนี้อีกคนที่ขโมยซีนได้เลยคืออดีตตำนานนักเตะ Eric Cantona ที่ออกมาทีไรขโมยความเด่นไปได้ทุกที หนังยังมาพร้อมเพลงประกอบที่ฟังแล้วก็รู้ว่านี่คือหนัง John Woo แถมยังมีบ้างที่ทำให้คิดถึงโลโก้ Golden Harvest ขึ้นมาเลย ยอมรับว่าสลัดภาพของเก่าออกจากหัวไม่ได้แล้วเมื่อเทียบกันก็คือห่างกันไกลแม้ว่าจะมาจากเจ้าของเดียวกัน ถามว่าหนังอยู่ในระดับไหนถ้าว่ากันที่ตัวหนังอย่างเป็นเอกเทศคืออยู่ในระดับใช้ได้เพราะยังมีดีให้ดูได้จนจบ แต่ก็ยอมรับว่าผู้เขียนสลัดภาพของเก่าออกจากหัวไม่ได้จริงๆเพราะมันคือหนังที่ดูซ้ำไม่รู้กี่รอบ แล้วเมื่อเทียบกับของเก่าซึ่งไม่มีทางเลี่ยงเพราะเป็นงานรีเมคแถมคนรีเมคยังเป็นตัวเจ้าของงานเองก็ต้องบอกว่าของใหม่พยายามร่วมสมัยจนไม่มีความเก๋าในพล็อตเก่า แถมยังแห้งแล้งมิติมิตรภาพระหว่างตำรวจกับนักฆ่าไม่ต้องถามหาเพราะไม่น่าเชื่อว่าจะมาญาติดีกันได้ไม่เหมือนการฝ่าความตายและอุดมคติในใจที่สื่อออกมาให้เห็นได้จากของเก่า ที่สำคัญที่สุดคือเหตุผลและแรงจูงใจที่จะปกป้องเหยื่อน้ำมือของตนเองที่ของเก่ามีมิติความรักเข้ามาเลยทำให้ไม่เหลืออะไรให้ต้องคิดแถมการแสดงของโจวเหวินฟะก็ยังสื่อสารได้เยี่ยม ส่วนของใหม่มองไม่เห็นเลยว่าทำไมจะต้องปกป้องแค่เรื่องมโนธรรมในใจการแสดงยังสื่อสารไม่ได้ ทำให้ถ้าเทียบกับของเก่ายังห่างไกลหลายขุมต่อให้ John Woo จะลงมือทำเองก็ตาม ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก,ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3 จาก Instagram omarsyofficial ภาพที่ 4 จาก Instagram john_woo_filmmaker เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !