Movie Review A Reason to Live (2011) การแสดงสุดเข้มของ "ซงฮเยคโย" กับการปล่อยวางและปล่อยมือด้วยการให้อภัยคือทุกอย่างของเหตุผลที่คนจะเดินหน้าต่อไปได้จริงหรือ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! สาเหตุหลักที่ผู้เขียนชอบดูหนังดราม่าเป็นอย่างมากทั้งที่เมื่อก่อนก็เป็นเหมือนคนอื่นๆที่ชอบความบันเทิงสำเร็จรูปไม่ต้องวิเคราะห์หรือสังเคราะห์นั้นอาจมาจากการที่อายุมากขึ้นได้ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านดราม่าของชีวิตตัวเองมามากก็เป็นได้ เพราะบางครั้งมนุษย์ก็มักมองหาความชอบธรรมให้กับตัวเองในการกระทำหรือไม่กระทำอะไรบางประการที่ผ่านมาแล้วและมันส่งผลกับจิตใจ แล้วสิ่งที่สามารถปรับจูนความคิดในการมองหาเหตุผลหรือความชอบธรรมนั้นก็สามารถหาได้จากสิ่งที่ผ่านเข้ามาทั้งอาจจะเกิดจากการฟังเพลงที่มีความหมายการอ่านหนังสือที่เหมือนไกด์ให้ได้คิด และแน่นอนการดูหนังสักเรื่องที่มีเนื้อหาชวนให้ได้คิดกับความหมายของชีวิตผ่านเรื่องราวชีวิตที่ทั้งหนักทั้งเบาที่เราเรียกกันว่าหนังดราม่าก็คือหนึ่งในสิ่งนั้น เพราะเพลงบางเพลงวรรคหนึ่งในหนังสือสักเล่มหรือแม้กระทั่งเพียงหนึ่งประโยคจากหนังสักเรื่องอาจสามารถเปลี่ยนชีวิคคนสักคนได้ผู้เขียนยืนยันเพราะมันเกิดขึ้นแล้วกับตัวเอง และวันนี้จะมาบอกเล่าถึงหนังอีกเรื่องที่จะทำให้คนดูหาความชอบธรรมในบางสิ่ง คืนฝนตกดาฮเย (ซงฮเยคโย) โปรดิวเซอร์รายการทีวีกับซังอู (กีแทยอง) คู่หมั้นของเธอกำลังกลับบ้านแต่เสียงโทรศัพท์จากจีซุก (ซองชางอึย) เพื่อนสนิทของซังอูขอให้ไปรับที่ผับและซังอูก็ไปและนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันเพราะซังอูถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งขับรถชนเสียชีวิต หนึ่งปีให้หลังดาฮเยที่หันเหตัวเองเข้าสู่ร่มของศาสนาได้เปลี่ยนงานมาเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์สารคดีที่เกี่ยวกับการให้อภัยต่อคนที่ทำร้ายจิตใจครอบครัวต่างๆเพราะเธอเองให้อภัยเด็กหนุ่มคนนั้นและยอมความ แล้วชีวิตปกติของดาฮเยที่อยู่กับการให้อภัยคนที่ฆ่าคู่หมั้นก็ถูกสะกิดเมื่อจีมิน (นัมจีฮยอน) น้องสาวของจีซุกมาเยี่ยมและขออยู่ด้วยสักพัก แต่มันคงไม่มีปัญหาถ้าคำถามที่ตามมาจากจีมินจะคือว่าการให้อภัยของดาฮเยคือการหนีความจริงหรือไม่และการให้อภัยมันคือเหตุผลที่ถูกต้องแล้วหรือ กระทั่งดาฮเยที่ใช้ชีวิตปกติมาเป็นปีเริ่มสั่นคลอนจนสืบพบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่เคยสำนึกเสียใจในสิ่งที่ทำและยังไปฆ่าคนอีกคนการให้อภัยของเธอจะกลายเป็นเหตุผลที่ถูกต้องจริงหรือ งานดราม่าขนานแท้ที่มีทั้งเรื่องหลักเรื่องรองเรื่องทับซ้อนหลากมิติหลายมุมมองแต่ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลที่พัวพันกันแนบแน่น นี่คือหนังที่แน่วแน่ไม่มีว่อกแว่กเฉไฉออกจากทางการเป็นงานดราม่าที่หนักหน่วงกับเรื่องของการใช้ชีวิตหลังความสูญเสียที่รุนแรงจนเสียศูนย์ และอย่างที่บอกคือมนุษย์จะหาความชอบธรรมในการสร้างเหตุผลในการใช้ชีวิตอยู่ต่อไปซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแล้วบทหนังก็ตั้งคำถาม แล้วจึงพยายามใช้แง่มุมชีวิตที่หลากหลายมุมมองมีพล็อตหลักคือการตั้งคำถามกับการให้อภัยและปล่อยมันไปใช้ชีวิตต่อ แล้วพล็อตรองคือเรื่องของความรุนแรงในครอบครัวการต้องเผชิญกับความตกต่ำของภาวะจิตใจไร้ที่พึ่งแล้วก็ใช้คำถามเดียวกันคือการให้อภัยเพราะนั่นคือบุพการี แน่นอนว่าไม่ได้มีแค่นี้ยังมีเรื่องซับซ้อนหลากมิติหลายมุมมองที่ยึดมั่นกับเหตุผลที่คนจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปผ่านการตัดสินใจที่ยากมากมายทั้งคิดสั้นและคิดได้ ใช่แล้วหนังเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าวิธีไหนจะถูกหรือผิดแต่ทุกคำถามจะสะกิดให้คิดไม่มีทางเป็นอื่น เรียบเรื่อยเต็มไปด้วยการวิเคราะห์สังเคราะห์กับเหตุผลของการมีชีวิตอยู่หลังจากที่ส่วนหนึ่งของชีวิตถูกพรากไปและแน่นอนว่าเมื่อคิดได้ก็ได้คิด เพราะหนังเล่าเรื่องหลังจากมรสุมชีวิตลูกใหญ่ที่ผ่านไปแล้วและคนที่อยู่ต้องมีชีวิตต่อไปแต่จะใช้ชีวิตให้ดีได้หรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่อง การเดินเรื่องจึงเหมือนตามติดชีวิตดาฮเยไปเรื่อยๆเพื่อตั้งคำถามให้คิดวิเคราะห์สังเคราะห์กับสิ่งที่เธอได้รับรู้รับฟัง ซึ่งสิ่งที่ทำได้ดีคือการคุมโทนและจังหวะอารมณ์ให้ไม่รุนแรงเกินไปเหมือนเรียบเรื่อยซึ่งมันคือแก่นแท้ของหนังเพราะนี่คือการพยายามอยู่ต่อด้วยการหาความชอบธรรมให้การตัดสินใจของดาฮเย จนเมื่อความชอบธรรมนั้นสูญสลายหนังจึงเร่งพลังให้สูงขั้นโดยที่ไม่ได้เร่งทางการเล่าเรื่องคือจังหวะจะโคนยังคงเท่าเดิมแต่เลือกเร่งในเชิงกระบวนการคิด นั่นคือสร้างทางแยกให้คนดูได้คิดตามว่าถ้าเป็นตัวคนดูเองจะคิดยังไงและตัดสินใจยังไงจะมองโลกในแง่ดีได้หรือไม่หรือจะเจ็บปวดแทบล่มสลายเหมือนดาฮเย แล้วเมื่อคิดได้ก็ย่อมได้คิดแต่จะคิดไปแนวไหนหนังเปิดช่องให้เติมลงไปเต็มที่ การแสดงสุดเข้มของ "ซงฮเยคโย" ที่ขับส่งด้วยการแสดงสุดข้นของ "นัมจีฮยอน" จนกลายเป็นสองแรงบวกที่สนับสนุนเรื่องหนักอึ้งเรื่องนี้ นี่คือการฉายภาพการเป็นนักแสดงยอดฝีมือของซงฮเยคโยจริงๆ เพราะทุกวินาทีที่หนังเล่าเรื่องการใช้ชีวิตหลังความสูญเสียซงฮเยคโยแสดงให้เห็นผ่านสีหน้าแววตาได้ว่านี่คือคนที่พยายามก้าวข้ามหลุมใหญ่ของชีวิตและพยายามมีชีวิตปกติทั้งที่ข้างในมันไม่ปกติ แล้วยิ่งจัดจ้านเมื่อความพยายามของคนคนนี้ถูกขยี้จมหายในตอนหลังทุกอย่างที่ทะลักล้นออกมามันคือการแสดงที่สุดข้นของซงฮเยคโยซึ่งผู้เขียนเองไม่ติดใจอะไรเพราะเธอก็พิสูจน์ตัวเองมาแล้วมากมาย แต่ที่น่าสนใจคือนัมจีฮยอน (Good Partner (2024)) ที่ตอนนั้นอายุเพียงสิบหกปีแต่แสดงเป็นตัวละครที่เป็นเสาค้ำยันการแสดงของซงฮเยคโยได้อย่างยอดเยี่ยม ในทุกฉากที่ควรเป็นตัวละครจีมินทั้งความน่ารำคาญความเจ็บปวดความสับสนในหรือการมองทะลุเข้าไปถึงข้างในดาฮเยแล้วตั้งคำถาม นี่คือการแสดงสุดเข็มจนต้องชื่นชมของเด็กอายุสิบหกในขณะนั้น นี่คือหนังดราม่าจัดจ้านที่เดินเรื่องเรียบเรื่อยขายพัฒนาการทางความคิดเพื่อปรับเรื่องเชิงทัศนคติชีวิตที่ถ้าชอบก็บันเทิงถ้าไม่ชอบก็ไม่ใช่ ต้องออกตัวก่อนว่าผู้เขียนชอบหนังแบบนี้และถนัดหนังแบบนี้มากกว่าหนังที่มาขายความบันเทิงเฉพาะหน้าอย่างที่มีผู้อ่านหลายท่านบอกว่าผู้เขียนถนัดทางหนังดราม่า ซึ่งก็ยอมรับเพราะหลังจากที่พรรษาการดูหนังมากขึ้นพร้อมอายุอะไรที่เป็นมุมมองชีวิตมันสามารถชักนำให้ได้คิดและระลึกตาม อย่างหนังเรื่องนี้เอาจริงคืออาจไม่ใช่ความบันเทิงสำหรับทุกคนแม้กระทั่งคนที่ดูหนังได้ทุกแนวหนังที่พูดกันทั้งเรื่องก็ดูได้แต่เรื่องนี้หนักกว่านั้น เพราะนี่คือหนังพูดกันทั้งเรื่องที่สื่อความหมายเป็นนามธรรมเพราะคนดูสิบคนอาจคิดไม่เหมือนกันเลยสักคนเพราะคำถามที่หนังตั้งไว้ทั้งเรื่องหลักเรื่องรองเรื่องย่อยมันสามารถเติมคำในช่องว่างได้มากมาย ซึ่งมันก็แล้วแต่ประสบการณ์ชีวิตที่เป็นที่มาของมุมมองชีวิตของแต่ละคน และสุดท้ายนี่คือหนังที่เรียบเรื่อยด้วยพัฒนาการทางความคิดและทัศนคติที่ถ้าชอบก็บันเทิงถ้าไม่ชอบทางนี้ก็คงไม่ใช่แนว ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก,ภาพที่ 1,2,3,4 จาก Instagram tvn.movies จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !