หากใครที่เป็นคนที่ติดตามวงการภาพยนตร์ คงไม่มีใครรู้จัก หรือไม่เคยได้ยินชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซิ อย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นอีกหนึ่งผู้กำกับมือทองของฮอลีวูด ที่เคยสร้างผลงานระดับตำนานมาแล้วนับไม่ถ้วน โดยหนังส่วนใหญ่ของเขามักจะเป็นหนังอาชญากรรม ดราม่า และความรุนแรง ซึ่งเขาจะมีสองนักแสดงคู่บุญคือ โรเบิร์ต เดอ นีโร และลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ นอกจากนี้หนังวายร้ายชื่อดังอย่าง Joker ก็ได้แรงบันดาลใจจากหนังของ สกอร์เซซิ ถึงสองเรื่อง ได้แก่ Taxi Driver และ The King of Comedy สำหรับปี 2019 มาร์ติน สกอร์เซซิ ก็กำลังจะมีผลงานกำกับเรื่องล่าสุดอย่าง The Irishman ที่จะลงฉายทาง Netflix โพสต์นี้ จึงอย่างขอแนะนำ 5 หนังที่ไม่ควรพลาด ของ มาร์ติน สกอร์เซซิ เพื่อเป็นไกด์ไลน์ ในการศึกษารูปแบบงานของเขา และแนะนำสำหรับใครที่ยังไม่เคยดู หรือรู้จักชื่อของผู้กำกับผู้นี้ ซึ่งแต่ละเรื่องล้วนแต่เป็นหนังที่เคยชิงรางวัล ไปจนถึงคว้ารางวัลมากมาย ที่ใครที่เป็นคอหนัง ควรหามาชมซักครั้ง1.Taxi Driver (1976)หนังดราม่า อาชญากรรม สุดเหงาที่ได้กลายเป็นหนึ่งในแรงบรรดาใจสำคัญของหนัง Joker (2019) เรื่องราวของ ทราวิส(โรเบิร์ต เดอ นีโร) อดีตทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนาม ที่หลังจากสิ้นสุดสงคราม ทราวิส ได้ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ จนเขาได้หันมาขับแท้กซี่กะกลางคืน ณ ใจกลางเมืองนิวยอร์ก โดยเขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง และไร้ซึ่งจุดหมาย ก่อนที่การขับแท้กซี่กะกลางคืนนี้ จะพาเขาไปพบกับเรื่องราวแสนประหลาดมากมาย ที่พาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันในโลกของอาชญากรรม หนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่หนังแก๊งสเตอร์ หรือหนังแอคชั่นที่มีฉากให้ตื่นเต้นมากมาย หนังจะพาเราไปสำรวจจิตใจอันพุพังจากสงครามของ ทราวิส พร้อมทั้งพาผู้ชมไปพบกับโลกอีกด้านของนิวยอร์ก ที่เต็มไปด้วยเซ็กซ์ ยาเสพติด และสิ่งผิดกฏหมาย เส้นทางชีวิตของ ทราวิส แทบไม่ต่างอะไรจาก อาเธอร์ ใน Joker ที่โดดเดี่ยว และเต็มไปด้วยความล้มเหลวทั้งชีวิต จนกระทั่งมีปืนหนึ่งกระบอก ที่สามารถเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล 2.Goodfellas (1990)หนังสร้างมาจากเรื่องจริงของ เฮนรี่ ฮิล (เรย์ ลิอ้อตต้า)เจ้าพ่อลูกครึ่งไอริช อิตาเลียน ผู้ไฝ่ฝันที่จะเป็นผู้มีอิทธิพลมาตั้งแต่เด็ก โดยเขาได้ใช้ความไร้เดียงสาของความเป็นเด็ก และความกล้า บ้าบิ่น จนเขาได้เข้าไปพัวพันกับสองเจ้าพ่อรุ่นใหญ่อย่าง เจมส์ คอนเวย์ (โรเบิร์ต เดอ นีโร) และ ทอมมี่ เดอวีโต้(โจ เปสซิ) ก่อนที่ชีวิตของเขา จะค่อยๆ ถลำลึกเข้าไปสู่โลกของอาชญากรรม ทั้งยาเสพติด ผู้หญิง ไปจนถึงการฆาตกรรม Goodfellas ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังแก๊งสเตอร์ ที่ท็อปฟอร์มที่สุดของ มาร์ติน สกอร์เซซิ ก็ว่าได้ เพราะหนังได้เข้าชิงออสการ์ถึง 5 รางวัล และชนะ 1 รางวัล คือนักแสดงสมทบโดย โจ เปสซิ จากบททอมมี่ เดอวีโต้ โดยหนังสามารถถ่ายทอดตั้งแต่จุดเริ่มต้น จุดสูงสุด และจุดสิ้นสุดของ เฮนรี่ ฮิล ออกมาได้อย่างน่าติดตามตลอดความยาว 2 ชั่วโมงครึ่งของหนัง ซึ่งทุกวันนี้หากจะให้มีการจัดอันดับหนังแก๊งสเตอร์ที่ดีที่สุด หนังเรื่องนี้จะต้องติดอันดับหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน3.The Departed (2006)หนังที่ดัดแปลงมาจากหนังแก๊งสเตอร์ฮ่องกงอย่าง Infernal Affair หรือ 2 คน 2 คม ที่ว่าด้วยเรื่องราวของสองชายหนุ่มที่พึ่งจบจากโรงเรียนตำรวจ คนหนึ่งเป็นลูกน้องของเจ้าพ่อรายใหญ่ ที่ส่งเขาไปเพื่อแฝงตัวเป็นสายลับในกรมตำรวจ อีกคนถูกกรมตำรวจ มอบหมายให้เข้าไปแฝงตัวเป็นลูกน้องของแก๊งมาเฟียดังกล่าว ทั้งคู่ต้องปลอมตัวเพื่อแอบสืบเรื่องวงในของอีกฝ่าย ท่ามกลางความสงสัยของตำรวจ และแก๊งมาเฟีย ว่าพวกเขากำลังมีหนอนบ่อนไส้ แม้ว่าหลายๆ เสียงจะบอกว่า The Departed ทำออกมาได้ไม่สนุก และสมบูรณ์แบบเท่ากับเวอร์ชั่นต้นฉบับของฮ่องกง แต่หนังก็ถูกใจนักวิจารณ์ และยังรักษามาตรฐานของความเป็นหนังมาร์ติน สกอร์เซซิ ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งหนังก็สามารถคว้ารางวัลออสการ์มาถึง 4 รางวัล (ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ,กำกับยอดเยี่ยม ,บทดัดแปลงยอดเยี่ยม และตัดต่อยอดเยี่ยม) โดยหนังเรื่องนี้ สกอร์เซซิ ยังคงความเป็นหนังต้นฉบับเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหา และฉากสำคัญต่างๆ แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้ออกมาเป็นหนังแก๊งสเตอร์อเมริกันแทน นอกจากนี้หนังยังได้ทีมนักแสดงชื่อดังมาร่วมอย่างแบบคับจอไม่ว่าจะเป็น แมตต์ เดม่อน ,ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ ,แจ๊ค นิโคลสัน ,มาร์ค วอลห์เบิร์ก ,อเล็กซ์ บาลวิน และเวร่า ฟาร์มิก้า 4. The Wolf of Wall Street (2013)หนังอาชญากรรมตลกร้าย สร้างจากชีวิตจริงของ จอร์แดน เบลฟอร์ท(ลีโอนาร์โด ดิคาร์ปริโอ) โบรคเกอร์หนุ่มที่สามารถทำกำไรมหาศาลจากการเจรจาค้าหุ้นในวอลล์สตรีท ก่อนที่เขาจะเอาเงินทั้งหมดมาลงกับการจัดปาร์ตี้ มั่วผู้หญิง และเสพยาเสพติด จนกระทั่งปี 1998 เขาได้ถูกจับในข้อหาฉ้อโกงหลักทรัพย์ และฟอกเงิน จนทำให้เขาถูกแบนจากวงการหุ้นตลอดชีวิต หลังจากนั้นเขาก็โด่งดังจากการเขียนหนังสือ และเป็นนักพูดชื่อดังเป็นอีกหนึ่งผลงานการร่วมงานระหว่าง สกอร์เซซิ และ ดิคาร์ปริโอ ซึ่งเรื่องนี้นักแสดงหนุ่ม สามารถแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้อย่างน่าขื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นบทเมายา ที่สมจริง การถ่ายทอดให้เห็นถึงชีวิตขาขึ้นและขาลงของ เบลฟอร์ท ได้อย่างยอดเยี่ยม ถือว่าบทนี้เป็นการแสดงที่ตลก และบ้าบอที่สุดของ ดิคาร์ปริโอ นับตั้งแต่ Catch Me If You Can (2002) ก็ว่าได้ ซึ่งการแสดงในหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เขาได้เข้าชิงสาขานักแสดงนำชายอีกครั้ง โดยหนังเรื่องนี้นอกจากจะเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีน และฉากเสพยาแบบโจ๋งครึ่มแล้ว หนังยังให้ข้อคิด และแรงบันดาลใจดีๆ มากมายสำหรับการทำธุรกิจอีกด้วย5.Silence (2016)นอกเหนือจากการกำกับหนังอาชญากรรม แล้ว มาร์ติน สกอร์เซซิ ยังสามารถกำกับหนังศาสนา ได้ดีไม่แพ้กัน โดยเขาเคยกำกับThe Last Temptation of Christ (1988) และเมื่อปี 2016 เขาก็ได้กำกับ Silence หนังดราม่า อารมณ์หนักหน่วง ที่ว่าด้วยเรื่องราวในศตวรรษที่ 17 เมื่อสองบาทหลวงจากโปรตุเกส โรดริเกซ(แอนดรูว์ การ์ฟิลด์) และการุปเป้(อดัม ไดรเวอร์) ที่เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อตามหาอาจารย์ของพวกเขาที่หายตัวไป โดยในยุคนั้น ญี่ปุ่นการนับถือศาสนาคริสต์ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง คนที่ถูกจับได้ จะถูกนำไปทรมานจนกว่าจะเลิกศรัทธา หรือตายไปในที่สุด บาทหลวงทั้งสองจึงต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อตามหาอาจารย์ พร้อมกับบททดสอบความศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อศาสนาคริสต์Silence ถือว่าเป็นหนังดราม่า ศาสนา อารมณ์หนักหน่วงที่สุดเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ เพราะตลอดความยาว 2 ชั่วโมง 45 นาทีของหนัง ล้วนแต่เต็มไปด้วยฉากทรมานจิตใจชาวคริสต์ ที่ชวนหดหู่ หนังได้พาคนดูไปตั้งคำถาม ถึงคำว่า "ศรัทธา" และความเห็นต่างของศาสนา ซึ่งหลายๆ ฉาก จะเต็มไปด้วยการถกเถียงเรื่องความแตกต่างระหว่างศาสนาคริสต์ กับพุทธ ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเข้มข้น ด้าน แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ นอกจากจะลดน้ำหนักตัวเองให้ผอมโซแล้ว ก็ยังสามารถถ่ายทอดบทดราม่า ออกมาได้สะเทือนอารมณ์คนดูเป็นอย่างมาก ทำให้ผลงานหนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ดูแล้วหดหู่ สะเทือนใจไม่ว่าคนดูจะนับถือศาสนาใดก็ตาม ขอขอบคุณรูปภาพ และข้อมูลอ้างอิงจาก : https://www.imdb.com