ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างนั้นเปลี่ยนไปและทำให้หลาย ๆ คนต้องหยุดงานและขาดรายได้จนเริ่มเกิดความท้อแท้ในชีวิต ผมอยากจะเป็นตัวแทนในการให้กำลังใจผู้คนที่กำลังท้อแท้และสิ้นหวังโดยจะแนะนำหนังดีสัก 5 เรื่องที่ดูแล้วอาจจะทำให้พวกคุณมีกำลังใจเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย วันนี้ผม มิสเตอร์ โก๋นัท ขอเสนอ 5 หนังสู้ชีวิตสร้างแรงบันดาลใจ ที่คุณไม่ควรพลาด จะมีเรื่องอะไรกันบ้างไปชมกันเลยครับ 1. 50/50 (2011) กำกับโดย Jonathan Levine นำแสดงโดย Joseph Gordon-Levitt , Seth Rogen รางวัลที่ได้ เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองสาขาภาพยนตร์คอมเมดี้ยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เรื่องย่อ " หากคุณเป็นโรคร้ายแล้วโอกาสรอดของคุณมีแค่ 50 เปอร์เซนต์คุณจะยังใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุขไหม " เรื่องราวของ อดัม หนุ่มหล่อที่มีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มีแฟนสวย และงานที่ดี ดูเหมือนเขาจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่แล้ว อดัม ก็เริ่มมีอาการปวดหลัง และเมื่อไปตรวจเขาก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เมื่อมีเนื้อร้ายอยู่บริเวณกระดูกสันหลัง และมีโอกาสรอดเพียงแค่ 50/50 เท่านั้น แต่แทนที่เขาจะท้อแท้กับชีวิตและใช้ชีวิตแบบคนสิ้นหวังรอความตาย เขากลับลุกขึ้นมาใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไปปาร์ตี้ สนุกสนานกับเพื่อน ๆ ใช้ชีวิตแบบไร้ข้อจำกัด และการใช้ชีวิตแบบเต็มร้อยนี่เองที่สร้างปาฏิหาริย์ทำให้เขามีชีวิตยืนยาวต่อไปได้ หากอยากรู้ว่าเรื่องราวสนุกแค่ไหนก็สามารถหามารับชมกันได้นะครับ ความรู้สึกหลังดูจบ เป็นหนังที่ดูง่ายเบาสมองเป็นหนังตลกที่ไม่ใช่ตลกไร้สาระในเรื่องนั้นสอดแทรกแง่คิดและมิตรภาพรวมถึงความไม่ย่อท้อต่อปัญหาและโชคชะตา ส่วนตัวบทของหนังก็ทำได้ดีพอสมควรอาจจะมีขัดใจผมเล็ก ๆ แต่ถือว่าไม่เป็นปัญหา ส่วนด้านนักแสดงนั้นทำได้อย่างดีเยี่ยม ทั้ง Seth Rogen ที่แกยังแสดงได้ฮามาก ๆ และ Joseph Gordon-Levitt ที่แสดงดีจนเรานึกว่าเขาเป็นมะเร็งจริง ๆ เลย คะแนน 50/50 (2011)บทภาพยนตร์ 8/10 คะแนนการสร้างแรงบัลดาลใจในหนัง 8.5/10 คะแนนนักแสดง 9/10 คะแนน คะแนนรวมเฉลี่ย 8.5/10 คะแนน 2. The Terminal (2004) กำกับโดย Steven Spielberg นำแสดงโดย Tom Hanks, Catherine Zeta-Jones, Chi McBride รางวัลที่ได้ ชนะรางวัลบีเอ็มไอสาขาเพลงยอดเยี่ยม เรื่องย่อ " หากคุณติดอยู่ในสนามบินเป็นปี คุณจะยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือว่าคุณจะสู้กับมัน " เรื่องราวของ วิคเตอร์ นาวอร์กี้ ชายผู้ออกเดินทางจากประเทศบ้านเกิด คาโคเชีย เพื่อมาทำภารกิจอย่างหนึ่งใน นิวยอร์ก โดยระหว่างนั้นประเทศบ้านเกิดของเขาเกิดปัญหาทางการเมือง ทำให้พาสปอร์ตของเขาถูกระงับ และต้องติดอยู่ที่ Terminal ของสนามบิน ตอนนั้นเขาไม่มีเงินติดตัว แต่ด้วยความที่เขาไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและมองโลกในแง่ดี เขาจึงเลือกที่จะสู้กับอุปสรรคต่าง จึงเกิดและความรักและมิตรภาพที่เขาสร้างให้กับผู้คนและสถานที่นี้โดยไม่รู้ตัวเลย หากอยากรู้ว่าหนังสวยงามขนาดไหนสามารถไปหารับชมกันได้เลยครับ ความรู้สึกหลังดูจบ เป็นหนังที่สวยงามและมีความลงตัวในหลาย ๆ อย่างเนื้อเรื่องดำเนินเรื่องได้ดีไม่รู้สึกน่าเบื่อ ดนตรีประกอบในหนังถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดีงามในเรื่องบวกกับบทพูดที่มีความเฉียบคมและแฝงด้วยแง่คิด ๆ ต่าง ๆ ทำให้หลาย ๆ คนน่าจะรักหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แม้บทอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่มันดูง่ายไปบ้างแต่ก็ถือว่าไม่ได้ทำให้หนังดูแย่ลงเลย ส่วนนักแสดงไม่ต้องพูดถึงเลยป๋า Tom Hanks แกเอาคนดูอยู่หมัดทำเอาคนดูอินไปกับแกจนบางทีก็หัวเราะ ร้องไห้ไปพร้อมกับแกด้วย คะแนน The Terminal (2004)บทภาพยนตร์ 8.5/10 คะแนนการสร้างแรงบัลดาลใจในหนัง 9/10 คะแนนนักแสดง 10/10 คะแนน คะแนนรวมเฉลี่ย 9.2/10 คะแนน 3. The Pursuit of Happyness (2006) กำกับโดย Gabriele Muccino นำแสดงโดย Will Smith, Thandie Newton, Jaden Smith รางวัลที่ได้ เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองสาขานำชายยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลลูก โลกทองสาขาประกอบภาพยนตร์ดั่งเดิมยอดเยี่ยม เรื่องย่อ " หากคุณแทบไม่เหลือเงินเลย ไม่มีบ้าน และต้องเลี้ยงลูกตัวน้อยคุณคิดว่าคุณจะอยู่ได้สักกี่วัน " เรื่องราวของ คริส เซลล์แมนที่ไม่ประสบความสำเร็จกับงานขายสักเท่าไรนัก จนเขาต้องตกอยู่ในสภาพคนไร้บ้านในคราบเซลล์แมน ลำพังแค่ตัวเองไม่เท่าไร แต่เขายังต้องเลี้ยงดูลูกน้อยอีกหนึ่งชีวิต ทำให้ชีวิตของเขาและลูกนั้นช่างแสนลำบาก แต่ด้วยความมุ่งมั่น และ ความพยายาม คริสจึงหนทางใหม่ซึ่งอาจช่วยให้ชีวิตลูกเขาสุขสบายขึ้น และทำให้ชีวิตเขาดียิ่งขึ้น หากอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปก็สามารถหามารับชมกันได้นะครับ ความรู้สึกหลังดูจบ เป็นหนังที่ดูไปน้ำตาไหลไปก็ชีวิตคนเราหรือบางคนมันช่างแสนลำบากเหลือเกินกว่าจะหาเงินมาได้ หนังทำให้เราเห็นถึงคุณค่าของความมุ่งมั่นและความพยายามสองสิ่งนี้นั้นอาจจะทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นก็ได้ เพลงประกอบหนังถือว่ามีความซึ่งกินใจน้ำตาไหลตามพระเอกของเรื่องไปบ้าง ในตัวบทการดำเนินเรื่องถือว่าเดินเรื่องได้เรียบ ๆ อาจจะมีช่วงที่ตื่นเต้นบางแต่ก็จะมีช่วงน่าเบื่อเยอะอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนนักแสดง พ่อลูกอย่าง Will Smith Jaden Smith ก็แสดงได้อย่างดีเยี่ยมซึ่งอาจจะเป็นเพราะเรื่องจริงเขาสองคนก็เป็นพ่อลูกกันอยู่แล้วทำให้คนดูนั้นอินได้ไม่ยากนัก คะแนน The Pursuit of Happyness (2006)บทภาพยนตร์ 8/10 คะแนนการสร้างแรงบัลดาลใจในหนัง 9/10 คะแนนนักแสดง 9/10 คะแนน คะแนนรวมเฉลี่ย 8.7/10 คะแนน 4. Boyhood (2014) กำกับโดย Richard Linklater นำแสดงโดย Ellar Coltrane, Patricia Arquette, Ethan Hawke รางวัลที่ได้ ชนะรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาบทดั่งเดิมยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาตัดต่อยอดเยี่ยม เรื่องย่อ " หากเราต้องเผชิญอุปสรรคและสิ่งรอบตัวที่เปลี่ยนไปต่าง ๆ เราจะยิ้มได้กับชีวิตของเราไหม " เรื่องราวของ เมสัน เด็กชายธรรมดา ๆ คนหนึ่ง โดยเขาอาศัยอยู่กับพี่สาว ซึ่งพ่อของเขา มีทัศนคติที่แตกต่างกับผู้เป็นแม่ ทำให้ต้องแยกทางกันอยู่ แต่ก็ยังหาเวลามาเยี่ยมเขาอยู่บ่อย ๆ ท่ามกลางวันเวลาที่เปลี่ยนชีวิตเขาก็ไม่เคยหยุดนิ่งและได้พบเจอสิ่งต่าง ๆ มากมาย เขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างก็สามารถหามารับชมกันได้นะครับ ความรู้สึกหลังดูจบ เป็นหนังเรียบง่ายแต่ดูทรงพลังหนังเลือกจะเล่าง่าย ๆ ในแง่ของการใช้ชีวิตต่าง ๆ ของพระเอกทั้งการก้าวข้ามผ่านวัย การพบเจอผู้คนและอุปสรรคต่าง ๆ ที่จะสอนเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในแง่ของบทอาจจะดูเรียบง่ายดำเนินเรื่องช้า ๆ แต่ไม่ถึงกับน่าเบื่อจนเกินไป ในเรื่องเราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครอย่างเห็นได้ชัดเพราะหนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำถึง 12 ปีเลยทีเดียว ส่วนนักแสดงถือทำได้ดีทั้ง Ellar Coltrane ที่แสดงตั้งแต่เด็กจนโตทำให้เรารู้สึกเติบโตไปพร้อมกับเขาจริง และ Ethan Hawke แสดงเป็นพ่อได้อย่างดีเยี่ยม คะแนน Boyhood (2014)บทภาพยนตร์ 9/10 คะแนนการสร้างแรงบัลดาลใจในหนัง 9.5/10 คะแนนนักแสดง 9.5/10 คะแนน คะแนนรวมเฉลี่ย 9.3/10 คะแนน 5.The Blind Side (2009) กำกับโดย John Lee Hancock นำแสดงโดย Quinton Aaron, Sandra Bullock รางวัลที่ได้ ชนะรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม , เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องย่อ " หากคุณมีฝันที่ยิ่งใหญ่แต่ดันเกิดมาต้นทุนชีวิตต่ำและโดนดูถูกเหยียดหยามเป็นประจำคุณจะยอมแพ้กับสิ่งที่ฝันของคุณหรือไม่ " เรื่องราวของไมเคิล ออห์ นุ่มผิวสีเชื้อสายแอฟริกัน อเมริกัน ซึ่งอยู่ในครอบครัวยากจนและเติบโตขึ้นมาในช่วงที่มีการเหยียดสีผิวรุนแรง พ่อของเขาก็เสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งผู้เป็นแม่ก็มีอาการติดยาเสพติดขั้นรุนแรง โดยชีวิตของเขาต้องพบเจอกับเรื่องที่ยากลำบากมาตลอด แต่แล้ววันหนึ่งก็มีครอบครัวที่ตั้งใจรับเขามาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เขาก็ตั้งใจตอบแทนครอบครัวนี้ด้วยการประพฤติตนเป็นคนดีและเป็นนักกีฬาที่ดีที่สุดเพื่อให้สังคมเปิดใจยอมรับเขาให้ได้ หากอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปก็ไปหามารับชมกันได้นะครับ ความรู้สึกหลังดูจบ ชอบการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้นะครับมันดูไม่น่าเบื่อส่วนแง่คิดในหนังที่พยายามสอดแทรกเรื่องการไม่ย่อท้อต่อความฝันนั้นก็ทำได้ดี มีบางจุดที่เราก็เศร้าตามและยิ้มตามตัวละครของเรื่อง เรื่องบทถือว่าทำได้ดีโดยเฉพาะบทพูดต่าง ๆ ที่สามารถสร้างพลังบวกให้กับผู้ชมโดยไม่รู้ตัว ส่วนเรื่องของนักแสดงนั้นถือว่าสอบผ่านแต่ที่แสดงดีเกินหน้าเกินตาคนอื่นคงจะเป็น Sandra Bullock ที่เป็นแม่เลี้ยงที่แสนดีได้อย่างสมบทบาท คะแนน The Blind Side (2009)บทภาพยนตร์ 8.5/10 คะแนนการสร้างแรงบัลดาลใจในหนัง 9/10 คะแนนนักแสดง 9.5/10 คะแนน คะแนนรวมเฉลี่ย 9/10 คะแนน เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ 5 หนังสู้ชีวิตสร้างแรงบันดาลใจ ที่คุณไม่ควรพลาด เจตนารมณ์ในการเขียนบมความนี้ก็เพราะอยากจะให้ทุกคนอย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตานะครับ อยากจะขอให้สู้อย่างถึงที่สุดอย่าง 5 หนังที่ผมหยิบยกมานะครับ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน หากมีสิ่งใดผิดพลาดประการใดผมของอภัยด้วยนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณรูปหน้าปกจาก www.justwatch.comขอบคุณรูปภาพทั้ง 5 จาก www.justwatch.com ครับ รูปภาพที่ 1 , รูปภาพที่ 2 , รูปภาพที่ 3 , รูปภาพที่ 4 , รูปภาพที่ 5