กลับบ้านเรารักรออยู่… ซีอีโออยากได้ "คริสโตเฟอร์ โนแลน" กลับมาทำหนังให้วอร์เนอร์อีกครั้ง
เมื่อปี 2020 ในช่วงที่โลกยังอยู่ในภาวะโรคระบาดของโรคโควิด-19 ประเด็นที่ฮือฮาที่สุดครั้งหนึ่งของฮอลลีวูดก็คือ การที่ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Bros.) ได้ตัดสินใจปรับแผนกลยุทธ์การจัดจำหน่ายภาพยนตร์สำหรับฉายโรงที่กำลังซบเซาเพราะคนไม่กล้าไปดูหนัง และมีแนวโน้มหันมาดูหนังผ่านสตรีมมิงมากขึ้น ด้วยการใช้แผนแบบ Hybrid Distribution หรือการเปิดตัวหนังทุกเรื่องที่มีกำหนดการปล่อยในปี 2021 ควบคู่ไปพร้อมกัน ทั้งการฉายในโรงภาพยนตร์ และแพลตฟอร์มสตรีมมิง HBO Max โดยไม่ต้องรอให้เข้าหนังโรงก่อนเหมือนแต่เดิม
กลยุทธ์นี้แม้จะส่งผลในแง่ดีที่สามารถเสิร์ฟหนังใหม่ ๆ ให้คนดูได้มีโอกาสดูหนังใหม่ ๆ ได้เลยถึงบ้านโดยไม่ต้องออกไปโรงหนังที่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนได้มากนัก และในแง่ธุรกิจสตรีมมิงก็จะเป็นโอกาสเพิ่มสมาชิกรายใหม่ ๆ ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อบรรดาคนทำหนัง ผู้กำกับที่ยังมีวิสัยทัศน์เชื่อมั่นในประสบการณ์การฉายภาพยนตร์ในโรงจอใหญ่มากกว่าการดูผ่านจอเล็ก ๆ
หนึ่งในคนที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านนโยบายนี้อย่างแข็งขันก็คือ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่เพิ่งกำกับผลงานหนังไซไฟจารกรรมสุดล้ำ ‘Tenet’ (2020) ที่โดดเด่นด้วยเรื่องราวและงานด้านภาพสุดล้ำโลก แต่กลับโดนนโยบายจาก Warner Bros. ในฐานะค่ายหนังที่นำหนังเรื่องดังกล่าวไปฉายทางแพลตฟอร์ม HBO Max (ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Max) หลังจากฉายไม่นาน
ซึ่งโนแลนที่ต้องการปลุกชีพมนต์เสน่ห์ของโรงภาพยนตร์ จึงรับไม่ได้กับนโยบายนี้เป็นอย่างมาก และออกมาวิพากษ์วิจารณ์บริษัทอย่างเผ็ดร้อน ก่อนที่เขาจะนำเอาโปรเจกต์หนังใหม่ที่ยังไม่มีชื่อในเวลานั้นไปเจรจากับค่ายอื่นแทน ทั้งที่โนแลนเองเคยสร้างผลงานหยหนังฟอร์มยักษ์ทำเงินให้กับ Warner Bros. มาตลอดทุกเรื่อง ซึ่งในที่สุดก็เป็นค่าย Universal Pictures ที่ได้เจรจาเป็นผู้สร้างและจัดจำหน่าย ‘Oppenheimer’ ผลงานหนังเรื่องล่าสุดของเขา ที่กำลังจะออกฉายในเร็ว ๆ นี้
โดยล่าสุด ไมเคิล เดอ ลูกา (Michael De Luca) และ พาเมลา แอบดี (Pamela Abdy) ประธานบริหารร่วมและ CEO ของ Warner Bros. Pictures ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Variety เกี่ยวกับทิศทางธุรกิจ Warner Bros. Pictures หลังการควบรวมกิจการ และการพยายามกลับมาสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้กำกับภาพยนตร์ระดับ A-List อีกครั้ง เพื่อหวังให้ Warner Bros. Discovery กลับมาเป็นจุดหมายปลายทางของคนทำงานในเชิงศิลปะที่เน้นคุณภาพของหนังอีกครั้ง
โดยส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ได้เปิดเผยว่า ทั้งเดอ ลูกา และแอบดี มีความพยายามที่จะต้องการให้ผู้กำกับอย่างโนแลน กลับมาสู่รั้วบ้านเดิมของ Warner Bros. Discovery อีกครั้งหลังจากที่ต้องแยกทางกันไป โดยเดอ ลูกากล่าวว่า “พวกเราหวังว่าจะได้โนแลนกลับคืนมา ผมคิดว่ายังมีความหวังที่จะเกิดขึ้น”
นอกจากนี้ Variety ยังได้อ้างถึงแหล่งข่าว 2 คนที่คุ้นเคยกับโนแลนว่า จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังคงได้รับเช็กจำนวนเงิน 7 หลักมานาน 8 เดือน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับส่วนแบ่งที่เขาได้รับจากหนัง ‘Tenet’ หนังเรื่องสุดท้ายที่โนแลนทำกับ Warner Bros. ที่ออกไปตั้งแต่ปี 2020 รวมทั้งที่ผ่านมา โนแลนยังได้ทำงานขั้นตอน Post-Production หนัง ‘Oppenheimer’ ที่สำนักงานของ Warner Bros. ด้วย ทำให้ทั้งเดอ ลูกา และแอบดีมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีในการเริ่มต้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่าง Warner Bros. Pictures กับโนแลน
นอกจากนี้ยังได้เปิดเผยว่า ซีอีโอร่วมทั้ง 2 คน ก็ได้เดินทางไปเจรจากับ ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) ที่สตูดิโอของเขาในนิวซีแลนด์ หลังจากที่ Warner Bros. Pictures ได้ประกาศว่า จะร่วมมือกับ New Line Entertainment และ Middle-earth Enterprises ในการเดินหน้าสร้างหนังและแอนิเมชันภายใต้จักรวาล ‘The Lord of the Rings’ จากวรรณกรรมขึ้นหิ้งของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน (J.R.R. Tolkien)
โดยบรรดาหนังในจักรวาล ทั้งไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ และ ‘The Hobbit’ และซีรีส์สปินออฟ ‘The Lord of the Rings: The Rings of Power’ (2022) ล้วนแต่สร้างความสำเร็จอย่างสูงทั้งรายได้ คำชื่นชมจากผู้ชมและนักวิจารณ์ รวมทั้งเข้าชิงและคว้ารางวัลจากเวทีต่าง ๆ อย่างงดงาม ซึ่งการเจรจากับเจ้าของผลงานออริจินัล ก็ถือเป็นความพยายามกลับมาเชื่อมโยงกับผู้สร้างสรรค์ของสตูดิโอ และเริ่มต้นค้นหาเรื่องราวใหม่ ๆ ในจักรวาลมิดเดิลเอิร์ธ (Middle-earth) ด้วยเช่นกัน
นโยบายการเปิดตัวหนังด้วยการฉายโรงพร้อมกับสตรีมมิง เริ่มต้นจาก เจสัน คิลาร์ (Jason Kilar) ซีอีโอของ WarnerMedia ก่อนการควบรวมกิจการ (ปัจจุบันแผนกนี้โดนยุบไปแล้วหลังควบรวมกิจการ) โดยนโยบายนี้ต้องการที่จะนำเอาหนังใหม่ทั้งหมด 17 เรื่องที่เข้าฉายในปี 2021 และ 2022 เข้าฉายในโรงหนัง และปรับเวลาการนำหนังเข้าแพลตฟอร์ม HBO Max ให้เร็วกว่าเดิม (หรือในบางเรื่องก็เข้าฉายพร้อมกัน) เพื่อต้องการสู้ในศึกสตรีมมิงที่เริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้น
อันเป็นผลกระทบจากโรคระบาดที่ทำให้โรงหนังต้องปิดอยู่นานหลายเดือน และทำให้คนที่ต้องอยู่แต่ในบ้านเริ่มหันมาดูคอนเทนต์ทางสตรีมมิงมากขึ้น และแม้โรงหนังจะกลับมาเปิดได้ แต่คนก็ยังไม่เชื่อมั่นมากพอที่จะกลับไปดูหนังในโรงหนังเหมือนก่อนยุคโควิด ทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งต้นน้ำอย่างบริษัทผลิตและจัดจำหน่ายหนัง และปลายน้ำอย่างโรงภาพยนตร์ต้องซบเซา ในขณะที่ธุรกิจสตรีมมิงกลับเติบโตขึ้นอย่างมาก ซึ่ง Disney ในเวลานั้นก็หันมาใช้นโยบายเดียวกัน ด้วยการนำหนังบางเรื่องลงฉายใน Disney+ หลังฉายโรงไม่นาน
แต่นั่นก็ส่งผลสะเทือนครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมของฝั่งคนทำหนังเช่นเดียวกัน ซึ่งโนแลนที่ร่วมงานกับ สตูดิโอ Warner Bros. มานานกว่า 20 ปี ด้วยการเป็น Distributor หรือผู้จัดจำหน่ายหนังของโนแลนเกือบทุกเรื่องในอาชีพการเป็นผู้กำกับของเขา ตั้งแต่ ‘Insomnia’ (2002), ไตรภาค ‘The Dark Knight’, ‘Inception’ (2010), ‘Interstellar’ (2014), ‘Dunkirk’ (2017) และ ‘Tenet’ (2020)
ซึ่งหนัง ‘Tenet’ ที่ Warner Bros. ตัดสินใจเข้าฉายแบบชนโรงใน HBO Max เช่นเดียวกับหนัง 17 เรื่องแบบไม่เว้นทั้งแอนิเมชัน หนังฟอร์มเล็กฟอร์มใหญ่ ทั้ง ‘Tom and Jerry’ , ‘Godzilla vs. Kong’ , ‘The Conjuring: The Devil Made Me Do It’, ‘Space Jam: A New Legacy’, ‘The Suicide Squad’, ‘Dune’, ‘The Matrix Resurrections’ ฯลฯ นี้เอง ที่เป็นชนวนเหตุที่ทำให้ผู้กำกับหลายคนออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย รวมทั้งผู้กำกับที่ทำงานภายใต้เครือ Warner Bros. ทั้ง เดอนี วีลเนิฟ (Denis Villeneuve) ผู้กำกับ ‘Dune’ (2021) และ เจมส์ กันน์ (James Gunn) ผู้กำกับ ‘The Suicide Squad’ (2021) ก็ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยต่อนโยบายนี้เช่นเดียวกัน
รวมทั้งโนแลน ที่ต้องการฉายหนังในโรงก่อนสตรีมมิง รู้สึกไม่พอใจต่อนโยบายดังกล่าว พร้อมทั้งโจมตีอย่างรุนแรงว่า คนทำหนังและนักแสดงล้วนแต่ต้องการอยากร่วมงานกับสตูดิโอที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่กลับกลายเป็นว่าได้ร่วมงานกับแพลตฟอร์มสตรีมมิงที่ห่วยแตกที่สุด และยังได้ให้สัมภาษณ์ว่า สตูดิโอไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้า และไม่มีการปรึกษาเรื่องดังกล่าวก่อนออกมาประกาศด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติคนทำหนังและนักแสดงที่ลงแรงสร้างหนังเป็นปี ๆ ก่อนจะตัดสินใจย้ายโปรเจกต์หนังฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุด ‘Oppenheimer’ ไปให้ Universal Pictures เป็นผู้จัดจำหน่ายแทน
แต่หลังจากที่ Warner Bros. ได้ควบรวมกิจการเข้ากับบริษัท Discovery และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Warner Bros. Discovery ภายใต้การนำของซีอีโอคนใหม่ เดวิด ซาสลาฟ (David Zaslav) ที่ได้ปรับทิศทางขององค์กรใหม่ รวมถึงการยกเลิกนโยบายการนำหนังที่เข้าฉายโรงหนังพร้อมกับสตรีมมิง และหันมาเน้นการทำหนังในเครือ Warner Bros. Pictures ทุกแผนกให้มีคุณภาพที่ดีและยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อเน้นการฉายในโรงภาพยนตร์เป็นหลักให้นานที่สุด ก่อนจะนำเข้าฉายทางสตรีมมิง รวมทั้งการยกเลิกการสร้างหนังที่ส่งตรงเข้าสตรีมมิงอย่างเดียว (จนกลายเป็นกรณีการยกเลิกหนัง ‘Batgirl‘ ในเวลาต่อมา)
ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่า นโยบายการกลับมาส่งเสริมหนังเข้าฉายโรงเป็นหลัก จะสามารถซื้อใจให้โนแลนกลับมาทำหนังกับสตูดิโอดั้งเดิมที่คุ้นเคย (และทำรายได้ให้สตูดิโออย่างมหาศาลแบบชัวร์ ๆ ) ได้หรือไม่ แต่ ณ ตอนนี้ ‘Oppenheimer’ (ที่ได้เรต R) คงต้องทำหน้าที่เป็นคู่แข่งโดยตรงกับหนังเรื่องล่าสุดของ Warner Bros. Pictures อย่าง ‘Barbie’ ที่กำกับโดย เกรตา เกอร์วิก (Greta Gwerwig) (ที่ได้เรต PG-13) ซึ่งทั้ง 2 เรื่องจะฉายพร้อมกันแบบช้างชนช้างในวันที่ 21 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ไปพลางก่อน
ที่มา: Variety, Slashfilm, The Hollywood Reporter, Washington Post