“หนุ่ม กรรชัย” เปิดสาเหตุตัดสินใจฟ้องนักร้องสาว ลั่นหากอยากคุยก็ยินดี

“หนุ่ม กรรชัย” เปิดสาเหตุตัดสินใจฟ้องนักร้องสาว ลั่นหากอยากคุยก็ยินดี
ดูเหมือนเรื่องจะบานปลายไปเรื่อยๆ สำหรับเรื่องราวของนักร้องสาว “เบียร์ เดอะวอยซ์” ที่มีเรื่องราวกับพิธีกรรายการดังอย่าง “หนุ่ม กรรชัย” จนล่าสุดพิธีกรหนุ่มต้องออกมาโพสต์หมายศาลเตรียมฟ้อง ล่าสุดเจอตัว “หนุ่ม กรรชัย” เจ้าตัวก็ได้อัปเดตคดีว่า จริงๆ เราก็ไม่รู้ว่าแมสเสจที่เราส่งไป คำพูดของเราการสื่อสารมันจะไปถึงอีกฝั่งนึงยังไง แต่เจตนาเราไม่มีเจตนาร้ายเลยตั้งแต่แรก เพราะว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว ก็ไม่ได้พูดถึงบุคคลอีกบุคคลหนึ่งอยู่แล้ว เขาอาจจะคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าอันนี้เราตอบไม่ได้แต่ที่แน่ๆ คือ หนึ่งมันไม่ได้มีการขอโทษ 2 เราไม่ได้มีการบังคับขู่เข็ญใครให้ไปทำอะไรแบบไหน หรือข่มขู่ใครแบบไหน เราว่าคำพูดเหล่านี้มันดูเป็นการกล่าวหาเราไปนิดนึง
จริงๆ เรื่องพวกนี้มันคุยกันได้หมด เพราะตัวเราเองเราก็เป็นคนชอบไกล่เกลี่ยอยู่แล้ว ถ้าสังเกตได้จากรายการเราก็พยายามให้คนเขาได้ไกล่เกลี่ยกัน ทุกวันนี้มีคดีมากมายขี้หมูขี้หมา ถ้ามันก็จบกันได้ก็จบกันไป แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจากคนที่พยายามไกล่เกลี่ยในรายการ กลับกลายเป็นว่าตัวเองเอาเรื่องไปให้ศาลท่านเหนื่อย แต่ก็หลีกไม่ได้ก็ไม่รู้จะทำยังไง เราก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกัน ก็คงต้องพูดไปตามกระบวนการเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ไปดูที่ศาล ศาลท่านอาจจะเรียกไปไกล่เกลี่ยก็เดี๋ยวไปดูว่าอะไรยังไง แต่ถ้ามันจบกันไม่ได้ก็ว่าไปตามกระบวนการ ถ้าเขาจะติดต่อขอเจรจา หนึ่งด้วยอายุของเราเอง เราก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่เพราะฉะนั้นอันไหนที่รุ่นน้องอยากจะคุยกับเรา เราก็ยินดี เพราะเราเองก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่มีเหตุผล คือเรื่องพวกนี้มันคุยกันได้หมด อย่างที่บอกคือเรื่องมันไม่ได้มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าอาจจะต้องมาคุยกัน ปรับความเข้าใจกัน และดูข้อเท็จจริงเท่านั้นเอง เราว่าคดีนี้เป็นคดีที่ไกล่เกลี่ยกันได้ พูดคุยกันได้ หรือถ้าไม่ไกล่เกลี่ยก็ดูต่อได้ก็ไปให้มันสุดทางว่ามันจะเป็นยังไง เพียงแต่ว่าเราก็แค่รู้สึกว่าเราต้องปกป้องสิทธิ์ของเราในคำพูดบางคำ เพราะเวลาไปขึ้นศาลไม่ได้เอาคำพูดทั้งหมดมารวมกัน เป็นคำพูดบางคำที่เป็นการหมิ่นประมาทหรือกล่าวหาเราหรือละเมิดเราหรือเปล่าเท่านั่นเอง
อันนี้คือคำพูดที่เขาโพสต์มาจากแชตใช่ไหม คำพูดที่เขาโพสต์ มันเป็นเรื่องราวประกอบกันมากกว่าในสิ่งที่เขาพูดมันยืนยันว่ามันคือตัวเรา แต่ก็เชื่อว่าถ้าไปถึงจุดนั้นต้องมีหมายศาลไปเรียกเขามาอยู่แล้ว ซึ่งก็เชื่อว่าส่วนหนึ่งคือคนกลางเองก็จะลำบากใจ ถ้าเกิดว่าจะต้องไปเป็นพยานให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็แล้วจะให้ศาลออกหมายเรียกมา ก็น่าจะให้พูดข้อเท็จจริงแบบกลางๆ ที่สุดว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือทุกอย่างมันต้องประกอบกันหมด ส่วนตัวเราไม่เคยติดใจน้องเลย ไม่เคยมีในความคิดและมโนสำนึกของเราเลย เราแค่รู้สึกว่าในบางเรื่องมันอาจจะล้ำเส้นเราไปนิดนึง อาจจะแบบไม่ใช่ข้อเท็จจริงเราก็รู้สึกว่ามันก็ไม่แฟร์กับเรา แล้วเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถที่จะคุยกับน้องได้ ในอดีตที่เมื่อก่อนเคยมีเหตุการณ์แบบตอนนี้เราก็เคยให้คนติดต่อไปนะ แต่พอมาพยายามทางนี้เราก็ให้คนติดต่อไปอีก แต่โดยตัวเราเองเรารู้สึกว่า ขอโทษนะคือเราไม่รู้ว่าทำไมเราต้องติดต่อไป นึกออกไหมว่าเรื่องมันไม่ได้มีอะไร แล้วเราไม่ได้พูดถึงน้องเขาก็เลยไม่รู้ทำไมถึงต้องติดต่อน้องไป ก็แค่ถ้าเกิดน้องเข้าใจผิดแล้วก็ฝากไปบอกว่าเฮ้ยน้องเข้าใจผิดนะเป็นแบบนี้แค่นั้นเองไม่มีอะไร ทุกวันนี้ก็ไม่ได้ติดใจอะไรน้องเลย