Short Commentความเห็นหลังชม Alienoid วายร้ายเอเลี่ยน (2022)ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกับการยำใหญ่ใส่สารพัดได้สุดจัดความบันเทิงถ้าว่ากันที่หนังเรื่องที่ท่านผู้อ่านกำลังจะได้อ่านบทความนี้ความจริงดูไปบ่นไปไม่หวังว่าจะได้ดูแล้วเพราะหนังออกฉายในเกาหลีตั้งแต่ปีที่แล้ว และแม้ว่าหนังจะเป็นหนังที่รวมดาราชั้นแนวหน้าของเกาหลีมาร่วมงานกันชนิดที่อาจหายากที่นักแสดงอย่างคิมแทรี , คิมอูบิน , รยูจุนยอล , โซจีซบและอีฮานีมารวมอยู่ในเรื่องเดียวกัน แม้ว่าดูหน้าหนังและตัวอย่างแล้วอาจบอกยากว่าจะออกมาทำนองไหนเพราะเหมือนจะเป็นงานแอ็กชันไซทะลุมิติทะลุเวลาคล้ายว่าจะมั่วเล็กน้อย กระนั้นด้วยชื่อนักแสดงนำระดับแม่เหล็กประมาณนี้หนังก็ไม่ได้เข้าฉายในบ้านเราจนคนที่เฝ้ารอและติดตามดูผลงานของคิมแทรีที่เป็นเหตุผลของความอยากดูเรื่องนี้อย่างผู้เขียนหมดหวังที่จะได้ดู จนเมื่อวันนี้ (23 มกราคม 2566) หนังได้ลงจอทางสตรีมมิ่งและผู้เขียนก็ไม่พลาดและด้วยความที่หนังไม่ได้เข้าฉายเลยไม่ได้เห็นอะไรหรือได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับหนังมากนัก ซึ่งก็ดีไปอย่างเพราะเหมือนคงความสดใหม่ไว้ให้ลิ้มลองกับการเปิดดูในวันแรกแล้วเมื่อไม่รู้มากก็ไม่คาดหวังตามหน้าหนังที่ออกมาและปรากฎว่าหนังเกาหลีก้าวไปอีกขั้นหนึ่งจนหนังฝรั่งบางเรื่องต้องอายแล้วเมื่อโลกคือที่คุมขังของเหล่าอาชญากรเอเลี่ยนด้วยการขังไว้ในสมองมนุษย์ซึ่งเท่ากับว่าร่างมนุษย์คือคุกสำหรับขังพวกมัน แต่ก็มักมีเอเลี่ยนที่แหกคุกได้บ่อยๆจึงต้องมีการ์ด (คิมอูบิน) ที่เป็นหุ่นยนต์ไว้ค่อยปราบและจับพวกมัน จนวันหนึ่งหลังจากที่จับเอเลี่ยนแหกคุกจากยุคโชซอนมาได้การ์ดและธันเดอร์ (ให้เสียงโดย คิมแดมยอง)หุ่นยนต์คู่ใจก็เก็บเอาเด็กมาเลี้ยงโดยตั้งชื่อว่าอีอัน (ชเวยูรี) อีกด้านหนึ่งในยุคโชซอนนักพรตหนุ่มมูรึก (รยูจุนยอล) ก็ได้ไปพัวพันกับการค้นหาดาบศักดิ์สิทธิ์จนได้พบกับหญิงสาวปริศนา (คิมแทรี) ที่ปล่อยสายฟ้าจากมือได้ที่ต้องการดาบศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ส่วนในยุคปัจจุบันหลังจากการมาเพื่อคุมขังนักโทษอีกชุดใหญ่ของพวกเอเลี่ยนกลายเป็นว่าหนึ่งในนั้นเป็นระดับผู้บัญชาการทีดันไปอยู่ในร่างของสายสืบมุนโดซอก (โซจีซบ) เพื่อที่จะทำให้บรรยากาศของโลกเปลี่ยนไปให้เหมือนดาวของพวกมันและปลดปล่อยนักโทษเอเลี่ยนที่ถูกคุมขังในร่างมนุษย์ออกมาซึ่งเท่ากับว่าเป็นการสูญสิ้นของมนุษย์ การ์ดและธันเดอร์จึงต้องจัดการปราบผู้บัญชาการจนทะลุไปยังยุคโชซอนแล้วสองยุคนี้จะเกี่ยวพันกันอย่างไรเหมือนจะมั่วแต่ไม่เพราะยังมีเส้นเรื่องที่แข็งแรงไว้เป็นโครงสร้าง เอาตามจริงเมื่อเห็นใบปิดรูปภาพหรือตัวอย่างหนังด้วยข้อมูลที่มีจำกัดผู้เขียนยังคิดว่าหนังจะออกมาขายความมันส์ปนฮาแบบรั่วๆมั่วๆที่วัยรุ่นข้างบ้านเรียกว่าหนังกาว เพราะมีทั้งยุคโชซอนมีทั้งยุคปัจจุบันมีทั้งเวทย์มนต์มีทั้งหุ่นยนต์ทั้งเอเลี่ยนซ้ำยังไม่พอมีจอมยุทธหญิงถือปืนอีกต่างหากจนนึกไม่ออกว่าหนังจะเอาสิ่งเหล่านี้มาเล่าได้ยังไงไม่ให้กาว แต่เมื่อได้พิสูจน์ก็พบว่าหนังมีเส้นเรื่องที่แข็งแรงมีที่มาครบรูปประโยคคือประธานกริยาและกรรม ซึ่งในภาคนี้ที่ระบุว่าเป็น Part 1 คือการเล่าถึงจุดเริ่มของเรื่องราวคือประธานและกระบวนการที่ทำให้เรื่องสนุกวุ่นวายเกิดขึ้นคือกริยาเพื่อปูทางไปสู่บทสรุป (มั้งนะ) คือกรรมในภาคหน้า ทำให้หนังมีโครงสร้างที่ค่อนข้างแน่นมีจุดประสงค์ที่จะเล่าและเล่าได้แม้ว่าบางช่วงอาจมีเนือยหรือตัดทิ้งก็ไม่เสียหายอยู่บ้างอาจจะเป็นการปูไปสู่ภาคต่อไปก็ได้ใครจะไปรู้ ทำให้แม้จะมีสิ่งที่ว่ามาที่น่าจะมั่วแต่กลับเล่าได้ตรงและไม่หลุดไปจากโครงด้วยบทที่ฉลาดในการตัดสลับเล่าแต่ไม่งงพร้อมซ่อนและเฉลยในเวลาอันควรให้เหนือคาดเล็กๆการเล่าเรื่องที่คล้ายหยิบเอานู่นนี่นั่นมายำใหญ่แต่เมื่อจังหวะได้หนังจึงออกมาอย่างบันเทิง แน่นอนจากการผ่านการดูหนังมามากพอประมาณภาพที่เห็นหรือมุขที่เล่นก็เหมือนกับเคยเห็นมาในหนังฝรั่งหรือหนังจีนมากมายที่ถ้าจะสาธยายก็จะยาวเกิน เอาเป็นว่าด้วยโครงเรื่องของเอเลี่ยนบุกโลกเพื่อยึดโลกและมนุษย์ต้องกอบกู้โลกแบบนี้มันก็มีให้เห็นมานักต่อนักแถมด้วยการขายเรื่องของเอเลี่ยนที่หลุดมาในยุคโบราณยุคคาวบอยหรือยุคจอมยุทธแบบนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีให้เห็น จึงไม่ต่างจากยำหม้อใหญ่ที่ปรุงด้วยลูกเล่นที่เหมือนหยิบเอาฉากในหนังเรื่องก่อนๆมาเล่นทั้งฉากแอ็กชันและมุขตลกที่มาขายอารมณ์ขัน ซึ่งอาจเป็นเรื่องของแรงบันดาลใจหรือภาพในหัวที่ฝังลึกของคนเขียนบทควบกำกับชเวดงฮุนมากกว่าจะมาล้อเลียนเพราะถ้าลองนึกถึงงานเก่าๆของเขาอย่าง The Thieves (2012) หรือ Assassination (2015) จะเห็นว่าการได้รับอิทธิพลจากภาพที่อยู่ในหัวที่มาจากหนังเรื่องต่างๆจากต่างชาติมีให้เห็นเหมือนเป็นลายเซ็นไปแล้ว แต่เมื่อมุขที่เคยใช้อะไรที่เคยเล่นมาในจังหวะที่ถูกหนังจึงเป็นความบันเทิงแม้จะเห็นมาจนชินตาก็ตามชัดเจนว่ามาขายงานด้านเทคนิคที่ออกมาตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจไม่น้อยหน้าใคร กับหนังมนุษย์ต่างดาวบุกโลกแถมยังมีการเล่าเรื่องในยุคจอมยุทธที่ใช้กำลังภายในใส่กันด้วยวิชาตัวเบาแบบนี้แน่นอนว่าต้องมีงานด้านเทคนิคมาเป็นจุดขายซึ่งเรื่องนี้ออกมาชัดเจนที่จะขายตรงจุดนี้ เพราะตั้งแต่เริ่มต้นจนจบเรื่องหนังโชว์ศักยภาพทีมงานวิชวลเอฟเฟกต์เต็มที่เพราะเห็นเลยว่านี่คืองานแอ็กชั่นไซไฟล้ำๆ ซึ่งถ้าเอาหนังแถบนี้เป็นตัววัดนี่คืองานด้านภาพที่ใช้เทคนิคซีจีในระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่งคือขายได้มีความเนียนตาเกือบเต็มร้อยจนถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นที่ลอยๆซึ่งก็ยากที่จะสังเกตอีกเพราะเวลาที่หนังมาขายซีจีแต่ละฉากที่มาก็มาพร้อมความตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจด้วยความมุมกว้างที่น่าเสียดายที่ไม่ได้ดูในโรง แต่คงไม่ไปเทียบกับหนังฝรั่งฮอลลีวู้ดระดับบล็อคบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์เพราะนั่นยังไกลเกินไปแต่ถ้าลองเทียบกับหนังฝรั่งฟอร์มรองๆลงมาเรื่องนี้จัดว่าเอาดีได้ไม่น้อยหน้าใคร แถมยังมาพร้อมฉากแอ็กชั่นแนวกำลังภายในที่สนุกไม่แพ้ต้นตำรับหนังจีนก็แล้วกันเพราะยังพยายามคงความเป็นแอ็กชั่นกำลังภายในยุด 90 อยู่บทอาจไม่มีอะไรในส่วนของตัวละครแต่ก็เดินหน้าไปอย่างลื่นไหลเพราะเสน่ห์ล้วนๆ ก็เป็นปกติของหนังแนวนี้ที่มีจุดขายที่งานด้านภาพและความบันเทิงเป็นหลักเรื่องของมิติเชิงลึกก็มาเป็นเรื่องรอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มียังมีให้สัมผัสได้แต่เมื่อบทไม่พยายามจะมีอะไรมากมายก็เลยไม่ต้องจับใจก็ได้ แล้วถ้าเอาแบบไม่เกรงใจคือนักแสดงอย่างคิมแทรี , คิมอูบิน , รยูจุนยอล , โซจีซบและอีฮานีคือชื่อที่เอามาขายคงไม่ผิดเพราะไม่ได้มีอะไรให้เล่นมากนัก กระนั้นหนังก็ยังลื่นไหลไปได้เพราะบทที่ไม่มีอะไรมากแบบนี้นักแสดงที่มีศักยภาพและชื่อชั้นแบบนี้หลับตาเล่นก็คงได้ที่เหลือก็คือให้เสน่ห์และพลังดาราพาไปจนสุดทาง เอาง่ายๆอย่างการรับส่งกันอย่างไม่มีสะดุดของคิมแทรีกับรยูจุนยอลที่ไม่มีอะไรหนักให้แบกแต่เบาๆแบบนี้แหละที่ดูสบายดูลื่นดูไหลและดูสนุกไปกับการแสดง โดยเฉพาะสองสามีภรรยาโจอูจินกับยัมจุงอาที่เห็นชัดว่าได้รับอิทธิพลมาจาก Kung Fu Hustle ที่ทั้งกวนบาทาทั้งแสบทั้งคันทั้งไหลลื่นดูสนุกขำขันสุดๆ ยังไม่รวมถึงนักแสดงรับเชิญที่มีชื่อเสียงและคุ้นหน้าที่มาออกแบบไม่กี่วินาทีหรือพูดไม่กี่คำให้ตกใจเล่นแม้เหมือนจะเคยเห็นผ่านตามาหมดแต่ก็ยังดูสนุกสุดจัดเพราะหนังตั้งใจบันเทิง ถ้าเห็นรายชื่อนักแสดงและเคยผ่านตาผลงานของพวกเขาและเธอมาอาจคาดหวังถึงอะไรที่มากกว่านี้ แต่เมื่อตั้งใจมาขายความบันเทิงผ่านงานเทคนิคทางด้านภาพแบบนี้อาจต้องเข้าใจว่าบางครั้งชื่อนักแสดงก็มีไว้ขายเพื่อให้เสน่ห์พาไปแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ ซึ่งเมื่อหนังชัดเจนจงใจมาขายความบันเทิงความบันเทิงก็ทำหน้าที่ได้ดีเมื่อเวลาปล่อยของออกมาทั้งฉากแอ็กชันฉากมาขายอารมณ์ขันเพื่อความฮาหรือฉากวินาศสันตะโรเมืองพังเป็นแถบไปจนถึงฉากไล่ล่ากลางเวหาก็ออกมาได้อย่างสนุกมีลุ้นมีตื่นเต้นอะดรีนาลีนหลั่ง แต่บางครั้งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแบ่งออกเป็นสองภาคเมื่อภาคที่เป็นจุดเริ่มต้นนี้ยังมีบางอย่างที่ไม่มีก็ไม่เสียหายอยู่ประปรายจนอดนึกไม่ได้ว่าน่าจะรวบใส่ไว้ในภาคเดียวให้จบๆไปจะได้ไม่ต้องรอ เพราะขนาดหนังฟอร์มขนาดนี้ (ทุนสร้างสามหมื่นล้านวอน) นี้ที่น่าจะขายได้แบบนี้ยังต้องลุ้นเต็มที่ว่าจะได้ดูหรือไม่ หลังจากนี้ก็ต้องมาลุ้นอีกทีว่าจะได้ดูบทสรุปของเรื่องนี้หรือไม่เพราะทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจที่มาพร้อมบทสรุปที่ลงตัวดีดูไปบ่นไปขอบคุณภาพประกอบภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2,3,4,5,6,7,8 จาก Instagram cjenmmovie อ่านบทความผลงานของ "คิมแทรี" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่รีวิวจัดเต็ม Mr.Sunshine : สุภาพบุรุษตะวันฉาย (2018) งานระดับมาสเตอร์พีซ ที่คำว่า "ยอดเยี่ยม" คงยังไม่พอรีวิวจัดเต็ม Twenty Five Twenty One : ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด (2022) "ความรัก ความฝัน แรงบันดาลใจ ยุคสมัย และความจริงของชีวิต"รีวิวจัดเต็ม Little Forest (2018) "งานที่น่าจดจำของ "คิมแทรี" ภาพสวยดีต่อตา เนื้อหาดีต่อใจ"รีวิวจัดเต็ม The Handmaiden เล่ห์รักนักล้วง (2016) หนังเรื่องแรกของ "คิมแทรี" ที่หลอกซ้อนหลอก เยี่ยมซ้อนเยี่ยม สมราคารางวัลด้วยชั้นเชิงและความแรงของเนื้อหารีวิวจัดเต็ม Space Sweepers ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล (2021) อีกหนึ่งงานของ "คิมแทรี" ที่เป็นความเก่าเล่าใหม่แต่ไปสุดที่ความบันเทิงในความทรงจำ 1987: When the Day Comes (2017) "เล่าเรื่องจริงให้ออกมาเป็นภาพยนตร์ในระดับที่ต้องโค้งคำนับ บีบคั้น รุนแรง และต้องจดจำ" จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !