Series Full Review Live สุขเคล้าเศร้า ชีวิตในเครื่องแบบ (2018) "งานเชิดชูที่ดราม่ามาหนัก อาจดูเหมือนเร่งและบีบแต่ก็ดูเพลิน" บ่อยครั้งที่คนดูจะได้เห็นงานที่ออกแนวเชิดชูวีรกรรมของเหล่าผู้กล้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นปฏิบัติงานระดับล่างที่ออกหน้าไปเจอกับเหตุการณ์บางอย่างแล้วช่วยให้สถานการณ์นั้นคลี่คลาย แต่เมื่อเวลาแถลงข่าวน้อยครั้งที่ประชาชนจะได้เห็นหน้าของพวกเขาอาจมีที่ได้ยินชื่อแต่การกล่าวชื่อออกมานั้นก็คือการยกย่องและตามมาด้วยการไว้อาลัย ซึ่งก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเมื่อเกิดภัยพิบัติเล็กหรือใหญ่ก็จะมีเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงก่อน เช่นเมื่อมีเพลิงไหม้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็ต้องไปก่อนเมื่อมีภัยพิบัติเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ต้องเข้าไปก่อนเมื่อมีโรคระบาดเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ต้องเจอก่อน ในยามที่ประชาชนทั่วไปพยายามหลีกหนีเอาชีวิตรอดแต่พวกเขาวิ่งสวนทางเข้าไปเพื่อระงับเหตุนั้นแล้วบ่อยครั้งนำมาซึ่งความสูญเสียของเหล่าผู้กล้าและตามมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนข้างหลัง จึงมีความพยายามบอกเล่าถึงวีรกรรมของคนเหล่านี้มามากมายผ่านหนังหรือซีรีส์ ทว่าก็ยังมีบ่อยครั้งที่ความไม่สมดุลทำให้งานส่วนใหญ่ออกมาในมุมมองของการเชิดชูแต่บกพร่องในการลงลึกถึงภายในสภาวะทางจิตใจหรือความกดดันที่ถาโถมใส่ครอบครัว อาจด้วยเวลาที่มีจำกัดในงานที่เป็นหนังในบางเรื่องเลยเล่าได้ไม่ครบถ้วนทุกอารมณ์จึงเป็นการดีที่เรื่องในทำนองเชิดชูแบบนี้จะมีมิติลึกขึ้นเมื่อมาเป็นซีรีส์ขนาดยาวที่เล่าเรื่องชีวิตของพวกเขา และมีอีกอาชีพหนึ่งที่ต้องเป็นด่านหน้าและบ่อยครั้งถูกมองในแง่ลบแต่พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองจนมีบ้างบางทีไม่มีใครมองเห็นมุมความเป็นมนุษย์ที่อยู่ภายไต้เครื่องแบบของพวกเขา กับงานที่ออกในความเชิดชูอาชีพตำรวจชั้นผู้น้อยที่มอบมุมมองที่ว่า พวกเขาก็มีชีวิตมีจิตใจไม่ต่างจากประชาชนที่พวกเข้าต้องปกป้อง อีกหนึ่งผลงานการรังสรรค์บทละครโดยโนฮีคยอง กับ Live เรื่องย่อ เรื่องเล่าถึงฮันจองโอ (จองยูมี) และยอมซังซู (อีกวังซู) ที่มีชีวิตที่ต้องดิ้นรนในสังคมเกาหลี เมื่อฮันจองโอพยายามหางานและสัมภาษณ์งานอยู่เรื่อยก็ยังไม่ได้ ส่วนยอมซังซูงานที่ทำก็กลายเป็นเขาคือหนึ่งในผู้ถูกหลอกให้ร่วมขบวนการแชร์ลูกโซ่จนเมื่อความจริงปรากฏงานก็หายมิตรก็สูญ เมื่อหมดสิ้นหนทางและพลังสิ่งที่ฮันจองโอและยอมซังซูมีร่วมกันคือภาพโปสเตอร์รับสมัครคนเข้าโรงเรียนตำรวจ แล้วฮันจองโอนั้นการที่ต้องใช้เงินในการเตรียมตัวสอบกลายเป็นเรื่องใหญ่เธอจึงไปขอยืมเงินจากพ่อผู้ไม่เคยเลี้ยงดูและเธอก็ไม่อยากพึ่งพา ด้านยอมซังซูที่มีแม่เป็นพนักงานทำความสะอาด (ยอมฮเยรัน) และพี่ชายก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศก็มีปัญหาในการปรับความคิด แต่เมื่อตั้งใจแล้วทั้งสองก็ได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนตำรวจและถูกฝึกอย่างหนักโดยครูฝึกจอมโหดโอยางซน (แบซองอู) แน่นอนลูกศิษย์ต้องเกลียดครูโหดสุดท้ายฮันจองโอกับยอมซังซูรวมถึงซงฮเยริ (อีจูยอง) ได้เข้าเป็นตำรวจสายตรวจฝึกหัดสมใจ ส่วนโอยางซนที่เป็นสายลืบที่มุ่งมันในการทำงานจนลืมครอบครัวกระทั่งถูกภรรยาคือเจ้าหน้าที่อันจางมี (แบจองอ๊ก) ขอหย่า และลูกทั้งสองก็ไม่ผูกพันกับพ่อที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน จนเมื่อการช่วยเหลือประชาชนของเขาทำให้ตำรวจคู่หูเสียชีวิตเบื้องบนจึงลงโทษให้ลดขั้นลงมาเป็นสายตรวจ แล้วความยุ่งยากก็มาเมื่อโอยางซนต้องมาอยู่สถานีเดียวกับเหล่าลูกศิษย์จากโรงเรียนตำรวจที่เหม็นขี้หน้าเขาซ้ำยังไม่พอโอยางซนยังต้องมาเป็นพี่เลี้ยงให้ยอมซังซูที่เกลียดเขาที่สุด หลังจากนั้นก็ตามสูตรเมื่อพวกเด็กใหม่ทั้งสามกับอดีตครูฝึกสุดโหดที่น่าชังและสมาชิกในสถานีต้องเจอกับเหตุการณ์วัดใจวัดจิตสำนึกความเป็นตำรวจ ผ่านเรื่องราวที่เป็นเรื่องเล่าที่ดูธรรมดาแต่คงไม่ธรรมดาของสังคมเกาหลีที่แน่นอนว่า ทุกเหตุการณ์ก็มีจุดจบที่มอบบทเรียนและลงเอยตามครรลอง ดราม่าเต็มพิกัดที่เข้มจัดแต่ไม่มีแกนเรื่องที่ชัดพอ เพราะบทเลือกเชิดชูเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยโดยชี้ให้เห็นความเป็นมนุษย์ในตัวเจ้าหน้าที่ชั้นปฏิบัติการเปิดอีกด้านของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในแต่ละวัน ซึ่งมันคือความกดดันที่กร่อนใจของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานหนัก แถมด้วยการกระชากหน้ากากกลายๆทั้งเรื่องของความฟอนเฟะของระดับผู้บังคับบัญชาความน่ารังเกียจของสื่อที่เลือกมองแต่มุมที่ขายข่าวได้แต่ไม่สนความเป็นจริงหรือทัศนคติของประชาชนเกาหลีที่มองตำรวจไม่ต่างจากชนชั้นต่ำ ซึ่งการที่พวกเขาต้องเจอและก้าวผ่านในแต่ละวันเพื่อที่ไปสู่บทสรุปที่วัดใจในความเป็นตำรวจที่แท้จริงโดยจิตสำนึกในทุกเรื่องที่เล่า แล้วเมื่อบทเลือกเล่าเรื่องที่เป็นนามธรรมคนดูจึงอ่านไม่ออกว่าเริ่มยังไงไปยังไงจบยังไงในแก่นแท้ทำให้ความน่าติดตามไม่สูงมากแค่ดูไปได้เรื่อยๆไม่ต้องถึงขนาดอดหลับอดนอน แต่ความฉลาดคือการเลือกเล่าเรื่องเป็นคดีย่อยๆที่เป็นเรื่องเล็กบ้างใหญ่บ้างให้มีบทสรุปในตัวเองไม่มีผลผูกพัน แล้วใส่เครื่องปรุงลงไปในนั้นด้วยการเร่งดราม่าใส่ความรู้สึกสงสารเห็นใจเข้าไปให้จัดจ้านแล้วเลยเถิดไปถึงสังคมไม่ยุติธรรมกับพวกเขาพร้อมกับอารมณ์เชิดชูที่ต้องมาทุกเรื่อง ที่ความจริงก็ได้ผลหากมองในมุมการเสพดราม่าเพราะคนดูมีความรู้สึกอย่างที่บทต้องการจริงแต่ถ้ามองกันที่ความเป็นบทละครยังไม่พอคือดราม่าได้ใจแต่ดูล้นและการเชิดชูที่ว่าก็ดูจงใจ เพราะในโลกแห่งความจริงในกลุ่มคนนั้นต้องมีดีบ้างไม่ดีบ้างปะปนแต่เรื่องถ่วงดุลเรื่องนี้ได้ไม่พอ คือเลือกจะให้ตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นผู้ถูกกระทำจากทั้งผู้บังคับบัญชาระดับบนหรือกระบวนการยุติธรรมรวมถึงสื่อที่มีอคติกระทั่งทัศนคติของประชาชนที่มีต่อตำรวจชั้นผู้น้อย หรือเอาให้แน่นลงไปก็คือ “ทำดีไม่มีค่า พลาดมาคือจมธรณี” ทำให้เรื่องหลุดวงโคจรแห่งความจริงไป ซึ่งในโลกจริงต้องมีทั้งตำรวจตงฉินกังฉินปนกันไปแต่บทฉายจุดด่างออกมาแค่ผิวเผินแล้วปล่อยบทสรุปมุมนี้ดูค้างคา เลยกลายเป็นว่ามีแต่ตำรวจในอุดมคติทำให้ความรู้สึกของคนดูที่อยู่ในความเป็นจริงจะรู้สึกขัดขืนเพราะในโลกแท้จริงไม่เป็นแบบนี้ต้องมีดีบ้างร้ายบ้างปะปน หรือกระทั่งการนำเสนอในซีรีส์เกาหลีเองก็มีไม่น้อยที่ตีแผ่เรื่องของความเน่าของตำรวจหรืออัยการแต่อย่างน้อยในแง่มุมของความอึดอัดกดดันของตำรวจถือว่าทำได้ถึงใจแต่ไห้แค่ความเพลิดเพลิน แล้วหากจะเอาบทเรียนชีวิตที่ซาบซึ้งกินใจยังไปไม่ถึงจุดนั้นในบางเรื่องหรือเลยเถิดเกินไปในบางเรื่องเช่นกัน ส่วนที่ว่ามองเห็นแกนเรื่องไม่ชัดคือเมื่อดูจนจบก็ยังบอกไม่ได้ว่านอกจากเรื่องดราม่าแล้วใจของคนดูจะสัมผัสได้ในแง่มุมไหน หรืออาจอาจจะกระตุกสังคมให้ฉุกคิดและเห็นใจคนทำงานว่าพวกเขายังมีเลือดมีเนื้อมีความรู้สึกเช่นเดียวกับพวกเรา เมื่อเจ้าหน้าที่ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเลือกที่จะเล่ามิติความเป็นมนุษย์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วที่ขาดไม่ได้คือมุมของครอบครัวที่เป็นรากของความรู้สึก ซึ่งคือเรื่องนี้เหมือนเป็นการส่องกระจกหรือภาพสะท้อนระหว่างหนึ่งชีวิตคู่ที่มีปัญหาเพราะหน้าที่คือคู่แต่งงานที่กำลังง่อนแง่นของโอยางซนกับอันจางมี ที่สะท้อนภาพของความรักที่กำลังก่อตัวของยอมซังซูกับฮันจองโอที่ไม่เหมือนก็คล้ายที่จะเดินตามรอย เพราะความเป็นตำรวจที่แท้จริงเป็นตัวแปรที่ต้องแลกและมองเห็นชีวิตที่ไม่สมดุลของตำรวจชั้นผู้น้อยที่รายได้ไม่มากมายนัก ครอบครัวแต่ละคนต้องดิ้นรน ซึ่งส่วนนี้คือส่วนที่ดีที่สุดที่ต้องยกย่องเพราะนี่คือความจริงแท้ที่ว่าไม่ว่าหน้าที่การงานของตำรวจจะเป็นเช่นไรพวกเขายังมีคนที่รออยู่ข้างหลัง หลังบ้านที่ต้องนอนไม่หลับเมื่อสามีหรือลูกยังไม่เข้าบ้านหวาดหวั่นว่าคนที่รักจะต้องเจอกับอะไร ประกอบกับงานที่ทั้งหนักและเสี่ยงชีวิตเพื่อรายได้อันน้อยนิดคือตัวแปรแห่งกิเลสที่จะชี้วัดหรือชี้ชะตาความเป็นตำรวจที่แท้จริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบให้งานที่อาจจะดูไม่สมูธทุกกระเบียดเรื่องนี้กลายเป็นงานดีได้เมื่อเผยมุมที่อาจไม่ค่อยได้เห็นชัดขนาดนี้ในงานที่ผ่านๆมา และคงกล้าบอกได้ว่าแม้จะเห็นว่าเล่าเรื่องนามธรรมในเรื่องหลักแต่เรื่องรองก็เห็นเป็นรูปธรรมคือเรื่องของชีวิตแต่งงานและปัญหาของครอบครัวโอยางซนตำรวจที่มอบทั้งกายและใจให้กับหน้าที่จนละเลยครอบครัว กลายเป็นถูกครอบครัวหันหลังให้จนเมื่อได้ใช้ชีวิตสายตรวจได้ผ่านเรื่องราวไปเรื่อยๆผ่านการใช้ชีวิตกับพ่อที่ห่างเหิน ได้เป็นพี่เลี้ยงให้กับยอมซังซูที่อาจเริ่มด้วยการเหม็นขี้หน้าแล้วเมื่อเวลาผ่านไปเรื่องครอบครัวของโอยางซนก็กลับมาเข้ารูปและกลับมาเป็นสถาบันครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งในความเห็นส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดสวยงามที่สุดเมื่อมองไม่เห็นว่าเรื่องส่วนนี้ติดขัด คนดูเริ่มดูไปพร้อมสมน้ำหน้าโอยางซนแต่เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกก็ละลายลงทีละน้อยโดยไม่รู้ตัวกระทั่งท้ายที่สุดก็รู้สึกเหมือนอันจางมีที่เข้าใจและพร้อมให้อภัยเขา สิ่งนี้คือการวางมิติทางครอบครัวที่ชัดและสวยงามเมื่อเชื่อได้ว่านี่คือครอบครัวของตำรวจที่ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่แต่มีคนหนึ่งที่เห็นหน้าที่มากกว่าการจัดการหรือการมีส่วนร่วมกับครอบครัวทั้งที่อีกฝ่ายก็เป็นตำรวจ จึงทำให้มองเห็นภาพชัดสัมผัสได้ด้วยใจในมุมนี้ ส่วนเรื่องความรักของคู่เด็กใหม่กลับเหมือนมีความย้อนแย้งในตัวจากจุดเริ่มต้น โดยเฉพาะตัวของฮันจองโอที่จุดเริ่มกับตอนท้ายคล้ายไม่เป็นเนื้อเดียวกันแต่รวมๆแล้วแม้จะดูไม่เรียบเนียนแต่ก็มีมุมที่สวยงามให้ได้มองในความเป็นดราม่าจัดจ้านขนาดนี้ บทที่มีความพยายามดราม่าเลยมองเห็นการแสดงที่ดูพยายามตามไปด้วย ความที่บทละครพยายามใส่ดราม่ามาเพื่อให้มองตำรวจชั้นผู้น้อยด้วยสายตาใหม่และมีบางเรื่องที่ดูล้นและเห็นชัดว่าจงใจบีบ จึงมีผลกับการแสดงที่บางครั้งดูล้นตามไปแต่อาจโทษนักแสดงไม่ได้เพราะบททั้งเร่งและเร้าและนักแสดงก็ต้องพยายามคั้นตามบท จนมองเห็นว่าพยายามเล่นให้ได้ซึ่งหวยมาออกที่แบซองอูในบทโอยางซนที่ดูดีที่สุดในด้านการแสดงเพราะคาแร็คเตอร์ความเป็นโอยางซนต้องเป็นคนแข็งนอกอ่อนในไม่แสดงความรู้สึก ทำให้เขาเป็นคนเดียวที่คุมโทนการแสดงของตัวเองและผลออกมาดีที่สุดและคนดูจับผิดไม่ได้เลยในการเปลี่ยนผ่านจากข้างในไม่มีสักครั้งที่จะเห็นว่าขาดหรือเกินเป็นความพอดีสำหรับตัวละครที่เขารับผิดชอบ และกลายเป็นว่าแม้เรื่องจะเริ่มต้นที่การเล่าเรื่องของฮันจองโอกับยอมซังซูแต่กลายเป็นความเด่นและพลังขับเคลื่อนทั้งหมดไปอยู่ที่บทโอยางซน หรือจะว่าง่ายๆคือส่วนที่เล่าเรื่องของครอบครัวโอยางซนคือเครื่องยนต์หลัก ซึ่งกลายเป็นเปิดมาอย่างหนึ่งแบบน่าสนใจแล้วถูกขโมยไปคาตา ส่วนคนอื่นๆก็ทำได้ดีเมื่อเรื่องเล่าถึงดราม่าที่ไม่บีบหรือไม่แรงแต่เมื่อใดแล้วที่เรื่องจงใจเร่งเร้าจะเห็นความพยายามเช่นกันในการแสดง กระนั้นทุกคนก็ยังเป็นที่รักและเห็นใจได้อย่างจองยูมีนั้นเสน่ห์มาเต็มที่การแสดงทางอารมณ์รับผิดชอบได้ แต่ที่โดนข่มทั้งเรื่องคือคนที่น่าจะเด่นเป็นพระเอกอย่างอีกวังซูที่กลายเป็นเข้าฉากกับใครก็โดนข่มหมดจนกลายเป็นไม่รู้สึกว่าเป็นพระเอก ส่วนคนอื่นๆก็ต่างมีเวลาที่น่าจดจำทั้งซองดงอิล , ยอมฮเยรัน , ชินดงอุค , แบจองอ๊ก หรือจางฮยอนซองที่เข้ากันได้ดีแม้จะดูล้นไป ด้วยงานด้านภาพที่เสนอในมุมที่ไม่หม่นแม้จะเป็นกลางคืนก็ยังเห็นมุมสว่างทำให้เรื่องไม่ดิ่งมากเกิน เพราะเลือกเล่นกับความเห็นใจและปรับทัศนคติที่มีต่อตำรวจของคนดูเป็นหลักกับงานเพลงที่ออกมาฟังสบายทำให้กลายเป็นงานเข้มแต่ไม่กดอารมณ์แต่ดูแล้วยังคงประทับใจได้ในระดับที่น่าพอใจ นี่คืองานที่ดูได้เพลินๆเป็นงานชั้นดีถ้ามองที่ภาพรวมแค่ดูขาดบ้างเกินบ้างเมื่อหน้าเสื่อออกมาเบาแต่ความจริงหนักหน่วงอารมณ์ และแม้อาจไม่มีพลังดึงดูดรุนแรงมีอะไรให้ทำก็พักก่อนแต่ไม่ว่ายังไงก็เทไม่ลงและยังต้องกลับมาดูให้จบ ซึ่งการเล่าเรื่องและเจตนามองเห็นงานอย่าง Hospital Playlist ทาบอยู่แต่นั่นคืองานที่มาทีหลังจึงดูลงตัวและสมดุลกว่า แต่ถ้าว่ากันที่นี่คืองานที่มาก่อนแล้วดูตามเจตนาก็เห็นว่าเรื่องนี้มีการเขียนบทไปถ่ายไปแน่นอนเพราะยังเห็นว่าบางเรื่องไม่เป็นเนื้อเดียวกันบทสรุปก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ คือเมื่อเลือกจะบีบดราม่าให้เห็นใจมองเห็นตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นฝ่ายถูกกระทำแล้วน่าจะให้รางวัลกับคนดูบ้างแต่เลือกที่จะเป็นมนุษย์เอาตอนจะมีบทสรุปในบางเรื่องย่อยโดยปล่อยให้ค้างคาคนที่น่ารังเกียจก็ปล่อยลอยนวลไปทั้งที่พยายามหลุดโลกมาก่อน ด้วยการวางตัวละครหลักให้ต่อสู้กับความอยุติธรรมมากมายแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะให้กล้ำกลืนกับความอยุติธรรมนั้นซึ่งมันอาจดีในมุมของความจริง แต่เมื่อเรื่องเลือกจะดราม่าหนักมาตั้งแต่ต้นแล้วปล่อยบทสรุปหลายเรื่องที่เล่าให้เป็นแบบที่เห็นก็คือการเก็บรายละเอียดไม่ครบโดยตั้งใจทำให้ไม่สมใจ เพราะอย่างน้อยการทำร้ายจิตใจมาก็ควรได้รับรางวัลทางใจบ้างแต่เมื่อเลือกที่จะให้ยอมรับและแข็งแกร่งจนเป็นตำรวจทั้งตัวและหัวใจแล้วอาจมีบ้างที่จะถูกมองว่าเป็นงานที่สนุกแต่ไม่สุด แม้อาจมองได้อีกทางในการเป็นกระบอกเสียงให้สังคมบ้านเขาให้หันกลับมามองเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ทำงานหนักเพื่อดูแลประชาชน คนที่ยังมีปัจจัยความเป็นมนุษย์ในการตัดสินใจทำหรือไม่ทำบางประการและย้อนกลับมาคิดในมุมความให้เกียรติต่อผู้เสียสละคิดในมุมเชิดชูเมื่อบางอย่างเราก็ยังต้องพึ่งพวกเขา ดูไปบ่นไป ขอบคุณภาพประกอบ ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 จาก program.tving.com ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 / ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 จาก tvN drama หมายเหตุ ผู้เขียน "ดูไปบ่นไป" คือบุคคลเดียวกับ Facebook Fanpage ดูไปบ่นไป อ่านบทความผลงานของนักเขียนบท "โนฮีคยอง" โดย "ดูไปบ่นไป" ได้ที่นี่ ในความทรงจำ It's Okay , That's Love : ถ้ารักกัน...มันก็โอเค (2014) "ความงดงามของความรักที่ชนะได้แม้อาการป่วย" รีวิวจัดเต็ม Dear My Friends : เพื่อนกันจนวัยดึก (2016) ความรัก มิตรภาพ สังขาร การจากลา หัวใจ และความเข้าใจ รีวิวจัดเต็ม Our Blues : เวลาสีฟ้าหม่น (2022) "เราไม่ได้เกิดมาบนโลกนี้เพื่อทรมานหรือเป็นทุกข์" ถ้าคุณชอบเรื่องนี้คุณจะชอบ รีวิวจัดเต็ม JIRISAN (2021) มีสีสัน บันเทิง และเชิดชูผู้กล้าพิทักษ์ป่า รีวิวจัดเต็ม Hospital Playlist เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์ (2020) "ละมุนอบอุ่นใจ กับมุมใหม่ของซีรีส์การแพทย์ ที่งดงาม เชิดชู และเป็นมนุษย์" รีวิวจัดเต็ม Hospital Playlist 2 เพลย์ลิสต์ชุดกาวน์ (2021) "เพลย์ลิตส์แห่งสัจธรรมชีวิตที่กระจ่างใส ที่ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดี" รีวิวจัดเต็ม Life ค่าชีวิต (2018) "จรรยาบรรณ เหลี่ยมกลธุรกิจ และมโนธรรม" ในความทรงจำ You're All Surrounded : สายลับน้องใหม่ สไตล์กังนัม (2014) "เหมือนจะมาขายความฮาแต่ดราม่าจัดหนัก พร้อมความสนุกตามแนว" เกาะติดซีรีส์เรื่องใหม่ๆ App TrueID โหลดฟรี!