ว่าด้วยคนสมองบอด , เรื่องลอบวางยา และความตั้งใจของกรรชัย กำเนิดพลอย
ไม่ใช่แค่คนอื่นทั่วไป แต่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย บอกว่าตัวเขาเองก็ยังงง และไม่รู้ว่าจับพลัดจับผลูยังไง จึงกลายมาเป็นผู้ประกาศข่าว และทำรายการโทรทัศน์ซึ่งรายงานถึงความเคลื่อนไหว และความเป็นไปต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม
อดีตนักแสดงคนดัง ซึ่งตัดสินใจทิ้งอาชีพเก่า ด้วยความตั้งใจอยากจะ ‘ชัดเจน’ จึง “ไม่อยากจับอะไรหลายๆอย่าง ที่ดูแล้วคนก็จะงงว่าคืออะไรกันแน่” บอกอีกว่า ก่อนหน้านี้เขาเคยทำรายการเชิงข่าวมาแล้วหลายรายการ ทั้ง ‘เมืองไทยวาไรตี้’ ทางช่อง 5 HD , ‘บอกเล่าเก้าสิบ’ ทางช่อง 9 MCOT , ‘ปากโป้ง’ ทางช่อง 8 แล้วจึงมาปักหลักกับรายการ ‘โหนกระแส’ ทางช่อง 3 HD รายการที่เขารู้สึกว่าได้พิสูจน์ตัวเองให้เห็นในเส้นทางสายนี้
ที่โหนกระแสได้รับการยอมรับจากผู้ชม คนทำบอกว่า น่าจะเพราะสามารถตอบโจทย์คนดู “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการสัมภาษณ์ ความสบายๆ หรือการละลายพฤติกรรมของแขกรับเชิญ”
กับงานที่ทำอยู่ แม้จะมีความมุ่งมั่นเต็มร้อย แต่กรรชัยบอก “ผมไม่มีการตั้งเป้าอะไร นอกจากการเป็นพิธีกรในเชิงฮาร์ดทอล์ค ทำรายการที่นำเสนอข้อเท็จจริง ต้องการที่สุดคือนำเสนออะไรก็ตามแต่ อยากให้เป็นกลางที่สุด สามารถคุยได้ทั้ง 2 ฝั่ง”
ครั้นเมื่อถามว่าได้อย่างตั้งใจแล้วหรือยัง เขาตอบทันควัน “ยังๆๆๆๆ” อย่างรัวๆ
แล้วจึงว่า “เมื่อไหร่ที่คนเรามองว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ทุกอย่างจะไม่มีคำว่าก้าวหน้า เพราะว่าพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีแล้ว”
“จริงๆมันเป็นสิ่งที่ดีนะครับ คำว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แต่เมื่อมาเทียบกับการทำงาน ผมว่ามันใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะไม่เคยคิดว่ามันโอเคแล้ว ดีแล้ว หยุดแค่นี้”
เล่าด้วยว่า ในวันทำงาน คือวันจันทร์ถึงเสาร์ เขาจะตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง แล้วอยู่ยาวไปถึงสามหรือสี่ทุ่ม
“พอดีผมออกแนวโรคจิตนิดนึงฮะ” คือคำออกตัว ที่มาพร้อมรอยยิ้ม
“คือผมไม่อยากเป็นแค่ผู้ประกาศที่มานั่งอ่านข่าว จบแล้วแยกย้าย ได้เงิน กลับบ้าน ผมเป็นคนทำอะไรต้องทำให้ถึงที่สุด”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักมาถึงสถานีราวๆ หกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงเช้า เช็คดูว่าวันนี้มีข่าวอะไรที่ต้องอ่าน จากนั้นก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับข่าวนั้นเพิ่ม จากบรรดาแหล่งข่าว ก่อนจะเข้าประชุม จากนั้นก็คอยแต่งหน้า ทำผม อ่านสคริปต์ของรายการ
ครั้นอ่านเสร็จ ก็ถึงเวลาเตรียมตัวสำหรับรายการโหนกระแส
“โหนกระแสผมเป็นคนเคาะเรื่องเอง ติดต่อเอง ทำทุกอย่างเอง ไม่ใช่น้องๆในทีมไม่เก่งนะครับ โหนกระแสประสบความสำเร็จได้เพราะเด็กๆเหล่านี้ด้วย แต่มันเป็นเรื่องที่เราปล่อยไม่ได้เหมือนกัน เพราะมันคือทีม ผมเองก็เป็นคนในทีม ไม่ใช่ว่าผมจ้างคุณ คุณก็ทำสิ ผมไม่ใช่คนแบบนั้น”
“ข่าวก็เหมือนกัน ไม่ใช่คุณจ้างผมแล้วจบ ผมต้องทำให้เขาเต็มที่”
ด้วยในความคิดของเขา เงินจากค่าจ้างไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องการ
“ถามว่าเงินสำคัญไหม สำคัญนะ แต่ผมเชื่อว่าบางทีมีเงิน ความสำเร็จมันไม่ได้มี ผมเองเลือกที่จะมีความสำเร็จก่อนที่จะมีเงิน เพราะเมื่อไหร่ที่มีความสำเร็จ เดี๋ยวเงินตามมาเอง”
“ทุกวันนี้ผมไม่ได้ค่าอ่านข่าวเยอะแยะมากมายอะไร แต่ผมรู้สึกว่าโอเค ทำไปให้ดีที่สุด แล้วเชื่อว่าวันหนึ่งจะมีสิ่งดีๆตามมา”
กับการงานที่เป็นทั้งเบื้องหลังและเบื้องหน้าในเวลาเดียวกัน กรรชัยบอกว่าเขาชอบงานเบื้องหลังมากกว่า
“มันสนุก เหมือนเราได้แข่งขัน”
“ทุกวันนี้ฮาร์ดทอล์คอย่างโหนกระแสมีเยอะ เพราะฉะนั้นรายการของช่องอื่นๆเหมือนเป็นคู่ต่อสู้ เหมือนนักมวยที่ต้องต่อยกัน แต่พอลงมาก็เป็นเหมือนพี่น้อง”
“ผมเองนิยมการที่จะต้องไปต่อสู้ ไปชกกันในวิธีต่างๆนานา แต่สิ่งที่ผมรับไม่ได้ คือวิธีที่ด่ารายการลับหลัง”
“มันอาจจะมีชิงแขก มาออกรายการผมเหอะ อย่าไปที่นั่นเลย อยากให้ที่นี่นำเสนอที่แรก แต่ผมจะไม่มีการบอกว่าที่นั่นไม่ดี อย่าไป ไม่ใช้วิธีนั้น”
“การตำหนิฝ่ายตรงข้ามโดยการใส่ไฟหรืออะไรต่างๆนานา มันไม่ต่างอะไรกับการที่คุณลอบวางยาคู่ต่อสู้ที่เป็นนักมวยอีกฝั่ง หรือคู่ชกของคุณ เวทีมวยหรือวงการมวยเขาก็ไม่ทำกัน วางยาแล้วขึ้นมาชก มันไม่ดี”
แต่เรื่องไม่ดีเหล่านี้แหละที่เขาเจอ
“ผมมักจะถูกทำร้ายจากการเอาไปลงเฟซบุ๊กว่า ไอ้นี่สื่อก็ไม่ใช่ ไม่รู้จะนิยามว่าอะไร บางคนก็ด่าว่ามันไม่ใช่สื่อไง พวกนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก ไม่ได้ท้อนะ แต่สมเพช ผมรู้สึกว่าคุณคิดแค่นั้นเองหรือ ทำไมถึงมาตีประเด็นของคนคนหนึ่งว่าเขาไม่ใช่สื่อ สื่อคืออะไร ต้องจบสื่อสารมวลชนมา ถึงเป็นคนข่าวหรือ แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งแอร์ที่บ้านผมเสีย มีช่างมาซ่อม คุยไปคุยมา แล้วผมถามคุณจบอะไรมาครับ อ๋อ ผมจบสื่อสารมวลชน ผมไล่ช่างแอร์คนนั้นกลับบ้านได้ไหม”
ตอนที่ไปประสานเรื่องแพรวากับครอบครัวผู้เสียหาย เขาก็ไม่วายโดนตำหนิ
“คุณทำกันตั้งเท่าไหร่ ทำกันไม่ได้ แต่ผมเข้ามาช่วยปรับจูน พยายามหาวิธี สุดท้ายได้เงินมา ผมเป็นคนเอาเช็คไปให้ ก็มาด่าอีก ว่าผมไปเกี่ยวอะไรกับเขา ผมไม่เกี่ยวหรอก คือผมเป็นสื่อไง ผมก็อยากจะเป็นสื่อกลางไปประสาน ผู้เสียหายได้เงินไป ปรากฏก็มีสื่อมาบอกว่า จริงๆแล้วสื่อเป็นตัวกลางได้นะ แต่เป็นคนกลางไม่ได้ ซึ่งสำหรับผม ผมบอกเลยว่าควาย”
“มนุษย์ทุกวันนี้อยู่ด้วยการพึ่งพากันและกัน ถ้าคุณมองแค่ว่าผมเป็นสื่อ เผอิญผมไปเจอเด็กคนหนึ่งถูกรถชน นอนพะงาบๆ ผมต้องทำยังไง ได้แค่ถ่ายภาพไว้หรือ ผมไม่ใช่ตำรวจจึงไม่สามารถช่วยเด็กคนนั้นได้ ผมไม่ใช่หมอจึงไม่สามารถช่วยปฐมพยาบาลได้หรือ แล้วคำว่ามนุษยธรรมอยู่ตรงไหน จริยธรรมอยู่ตรงไหน”
“ผมรู้สึกว่าคนเหล่านั้นสมองบอด แล้วก็ไม่ให้ค่ากับคนพวกนี้ คนพวกนี้ไม่ได้มาดูแลผม ไม่ได้ดูแลครอบครัวผม ไม่ได้ดูแลประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ มีแต่ซ้ำเติม รู้สึกว่ากูไม่ได้ กูไม่เด่น กูไม่ดัง หรือกูไม่มีพื้นที่ ก็ต้องพยายามหาพื้นที่ คนเหล่านี้ไร้ค่า”
“ผมเองก็มีเรื่องที่ไม่ชอบเยอะแยะมากมายในโลกนี้ ช่องนี้ ช่องนั้นทำแบบนั้น ผมก็ไม่ชอบนะ แต่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปนั่งด่าใคร ไม่วิจารณ์ใคร ผมวิจารณ์ตัวผมเองว่าเป็นยังไง แต่ผมไม่มีสิทธิไปวิจารณ์คนอื่น”
“ผมก็ทำงานของผมไป”
ด้วยความตั้งอกตั้งใจ-เหมือนที่เป็นมา.
*ผู้ทรงอิทธิพล?
ถ้ากลอกตามองไปทั่วๆ แล้วประกาศว่า หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง-คิดว่าไม่น่าจะผิด
แต่ “ไม่นะ ผมไม่ได้ทรงอิทธิพลอะไรเลย” เจ้าตัวเขาแย้ง
“ผมก็แค่ทำงานเหมือนทุกๆคน”
“จะบอกว่าเป็นเบอร์ 1 ก็ไม่ใช่ ไม่มีใครเป็นเบอร์ 1 เบอร์ 2 เพียงแต่ผมมองว่าจังหวะชีวิตคนอาจจะไม่เหมือนกัน อยู่ที่โอกาสที่เข้ามา แล้วผมเป็นคนที่มีโอกาสดีเข้ามาในชีวิต แต่การทำงานก็ยังต้องไปขอความช่วยเหลือ ขอวิชาความรู้จากคุณหมวย (อริสรา กำธรเจริญ) จากพี่ยุทธ (สรยุทธ สุทัศนะจินดา) คุณไก่ (ภาษิต อภิญญาวาท) หรือคุณอุ๋ย ภาคภูมิ (พันธุ์สถิตย์) เยอะแยะมากมายที่เขาเป็นคนข่าวมาก่อนหน้า”
แต่สมุมตินะ สมมุติว่า สักวันหนึ่งหากเกิดได้เป็นผู้ทรงอิทธิพลขึ้นมาจริงๆ กับประเด็นนี้ที่หยอดไป กรรชัยก็ว่า เขาก็จะเลือกใช้อิทธิพลที่มี “นำสังคมให้ดีขึ้น อยากให้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนจน มีกระบอกเสียงที่ดี หรือมีโอกาสได้พูด มีโอกาสที่เขาไปช่วยเหลือเขาได้บ้าง”
“ทุกวันนี้ก็พยายามใช้รายการโหนกระแสเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชน”
ในแบบของหนุ่ม กรรชัย คนธรรมดาๆคนหนึ่งนี่ล่ะ.